28 ตุลาคม 2552
ปั่นจักรยานทางไกลเสริมสร้างสุขภาพ ปรับสภาพโลกร้อน
เรียนเชิญผู้สนใจปั่นจักรยานทางไกล เส้นทาง ท่าฉัตรไชย - น้ำตกเต่าทอง (พังงา)ระยะทาง 60 กม. สนใจร่วมกิจกรรมติดต่อได้ที่ คุณอมรินทร์ ศรัณยสกุล ประธานชมรมจักรยานป่าตอง โทร 081-891-4702
27 ตุลาคม 2552
เทศบาลเมืองป่าตอง ปรับปรุง "หาดป่าตอง" เพื่อรองรับฤดูการท่องเที่ยว
นายเปี่ยน กี่สิ้น นายกเทศมนตรีเมืองป่าตอง นำเจ้าหน้าที่ และพนักงาน และประชาชนชาวป่าตอง ร่วมกันปรับปรุง "หาดป่าตอง" พื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้มีสภาพสมบูรณ์ พร้อมรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในช่วงฤดูการท่องเที่ยว จังหวัดภูเก็ต ที่นับเริ่มตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน ของทุกปี
22 ตุลาคม 2552
กำหนดการงานประเพณีกินผักภูเก็ต
พิธีแห่พระของศาลเจ้า (อิ้วเก้ง)
วันที่ 20 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้าสะปำ (แห่พระรอบเมือง)
วันที่ 21 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้าสามกอง (แห่พระรอบเมือง)
ศาลเจ้าเชิงทะเล (บ้านม่าหนิกและบ้านเชิงทะเล)
วันที่ 22 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้าบ้านท่าเรือ (แห่พระรอบเมือง)
ศาลเจ้ากะทู้ (หาดป่าตอง)
ศาลเจ้าเต้กุ๊นไต่เต่ (บ้านป่าสัก-ตลาดบ้านดอน)
ศาลเจ้าสะปำ (บริเวณหมู่บ้านสะปำ)
วันที่ 23 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้าบางเหนียว (แห่พระรอบเมือง)
ศาลเจ้าเชิงทะเล (ในเขตอำเภอถลาง)
ศาลเจ้ากิ๊มซืออ๋องเก้ง (พิธีแห่พระบ้านไม้ขาว)
วันที่ 24 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย (แห่พระรอบเมือง)
ศาลเจ้ากิ๊มซืออ๋องเก้ง (หมู่บ้านเคียน หมู่บ้านสาคู หมู่บ้านในยาง สนามบินและหมู่บ้านเมืองใหม่)
วันที่ 25 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้ากะทู้ (แห่พระรอบเมือง)
ศาลเจ้ายกเค่เก้ง (แห่พระรอบเมือง)
ศาลเจ้าบ้านท่าเรือ (ในเขต อ.ถลาง)
วันที่ 26 ตุลาคม 2552
ศาลเจ้าซุ่ยบุ่นต๋อง (แห่พระรอบเมือง)
พิธีลุยไฟแต่ละศาลเจ้า (โก้ยโห้ย)
23 ตุลาคม 2552
20.00 น. อ๊ามท่าเรือ
20.00 น. อ๊ามยกเค่เก้ง (ซอยพะเนียง)
20.09 น. อ๊ามจุ้ยตุ่ย
21.00 น. อ๊ามซุ่ยบุ่นต๋อง(หล่อโรง)
21.00 น. อ๊ามกวนแต้กุ้น (สะปำ)
25 ตุลาคม 2552
20.00 น. อ๊ามบางเหนียว
20.00 น. อ๊ามหลิมฮู้ไท้ซู (สามกอง)
20.09 น. อ๊ามสามอ๋องฮู้ (เชิงทะเล)
26 ตุลาคม 2552
15.00 น. อ๊ามหล่ายถู่ต่าวโบ้เก๊ง (กะทู้)
พิธีขึ้นบันไดมีด
24 ตุลาคม 2552
19.59 น. อ๊ามสามอ๋องฮู้ (เชิงทะเล)
20.00 น. อ๊ามบางเหนียว
20.00 น. อ๊ามหลิมฮู้ไท้ซู (สามกอง)
พิธีเดินสะพานตะปู
24 ตุลาคม 2552
20.00 น. อ๊ามกวนแต้กุ้น (สะปำ)
20.09 น. อ๊ามสามอ๋องฮู้ (เชิงทะเล)
พิธีสะเดาะเคราะห์ (โก้ยห่าน)
25 ตุลาคม 2552
20.09 น. อ๊ามจุ้ยตุ่ย
26 ตุลาคม 2552
18.00 น. อ๊ามบางเหนียว
18.30 น. อ๊ามสามอ๋องฮู้ (เชิงทะเล)
19.00 น. อ๊ามหลิมฮู้ไท้ซู (สามกอง)
19.45 น. อ๊ามกวนแต้กุ้น (สะปำ)
20.00 น. อ๊ามหล่ายถู่ต่าวโบ้เก๊ง (กะทู้)
20.00 น. อ๊ามบ้านท่าเรือ
20.00 น. อ๊ามยกเค่เก้ง (ซอยพะเนียง)
15 ตุลาคม 2552
14 ตุลาคม 2552
ค่าเงินบาท-ตลาดหุ้นไทยร่วงหนัก"ผิดปกติ" สวนทางดาวโจนส์พุ่งทะลุ1หมื่นจุด
โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา สำนักข่าวบลูมเบิร์ก
15 ตุลาคม 2552
ตลาดหุ้นไทยยังตกหนักต่อเนื่องในช่วงเปิดการซื้อขายภาคเช้าวันนี้(15ต.ค.)โดยร่วงลงทำนิวโลว์กว่า30จุด ลงมาที่701จุด ณ เวลา 11.20 น. หลังจากวานนี้ตกหนักกว่า30จุดในระหว่างชั่วโมงซื้อขาย สวนทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจากดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นเกิน10,000จุดเมื่อคืนนี้
ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลงมาราว30จุด หรือ4%นั้น หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ลงมา5% เช่นเดียวกับหุ้นบริษัทเครือซิเมนต์ไทยก็ลง-5% คือลงมากกว่าดัชนีของตลาดหุ้นไทยโดยรวม
อาการ"ผิดปกติ"ดังกล่าวเกิดกับค่าเงินบาทของไทยด้วยเช่นกัน โดยค่าเงินบาทร่วงลง สวนทิศทางค่าเงินสกุลเอเชียอื่นๆที่ต่างก็แข็งค่าขึ้น เพราะค่าเงินดอลลร์สหรัฐฯยังร่วงลงต่อเนื่อง
ตลาดหุ้นไทยร่วงสวนทางหุ้นทั่วโลกอย่างผิดปกติ
อาการขายอย่างแตกตื่น(panic sell)ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยวานนี้ นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิมากกว่า4,000ล้านบาท แม้ว่าคุณภัทรียา เบญจพลชัย ผู้จัดการตลาดหลกทรัพย์จะบอกว่า ไม่มีข่าวอะไรเป็นพิเศษ แต่เกิดจากการตกปรับฐานปกติ แต่ก็มีรายงานในสำนักข่าวบลูมเบิร์กวานนี้พาดหัวว่า Thai Stocks, Baht Slump on King’s Health Speculation (หุ้นและค่าเงินบาทร่วงแรงวิตกอาการพระประชวรของในหลวง)
นักลงทุนต่างชาติวิตกอาการพระประชวร
ตอนแรกนั้นเมื่อหุ้นเริ่มตกแบบpanic sell ทางบลูมเบิร์กก็ตามสัมภาษณ์นักลงทุนต่างชาติ ก็ได้สัมภาษณ์นายเดวิด เหลียง นักเลงหุ้นชาวสิงคโปร์ซึ่งบอกว่า”มีข่าวลือเกี่ยวกับอาการพระประชวรหนักมาก” ทั้งได้รายงานจากการเปิดเผยของรัฐบาลไทยว่า การสืบราชสันตติวงศ์ของราชวงศ์ไทยนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯจะได้สืบพระราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไป” ขณะทีJonathan Schiesslให้สัมภาษณ์บลูมเบิร์กทางโทรศัพท์ว่า ในหลวงภูมิพลเป็นศูนย์รวมของคนไทย หากไม่มีพระองค์ท่านอยู่เป็นร่มพระบรมโพธิสมภาร ก็จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนขึ้นเกี่ยวกับประเทศไทย
อย่างไรก็ตามต่อมาบลูมเบิร์กได้พาดหัวข่าวว่า Thai King’s Condition ‘Good,’ Palace Says, After Market Jitters(อาการพระประชวรในหลวงของไทย”ดีขึ้น”ทั้งนี้จากแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง ภายหลังจากตลาดร่วงแรง)
ตร.ภูเก็ตยอมรับ "ยาเสพติด" ยังระบาดในพื้นที่ต่อเนื่อง
ตำรวจภูเก็ตเผยสถานการณ์ยาเสพติดในพื้นที่ยังคงมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกัญชาและยาบ้า ล่าสุด ตร.ฉลอง โชว์ฝีมือจับ 3 พ่อค้าขายกัญชาแห้งอัดแท่งรายใหญ่ของเกาะภูเก็ต ได้ของกลางหนัก 8 กิโลกรัม ขณะที่ชุด ฉก.ผวจ.ภูเก็ตร่วม ตชด.จับยาบ้าได้ของกลาง 1,700 เม็ด
15 ต.ค.52 ที่ห้องประชุมชั้น 2 ศาลากลาง จ.ภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยนายวิโรจน์ สุวรรณวงศ์ ป้องกันจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศภ.ฉลอง และชุดเฉพาะกิจผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต รวมกันแถลงผลการกวาดล้างจับกุมยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตนั้นตองยอมรับว่ายังมีการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าหรือผู้เสพ ซึ่งที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินการจับกุมกวาดล้างอย่างจริงจัง และในระหว่างวันที่ 7-22 ต.ค.นี้ได้มีการระดมกำลังกวาดล้างอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันและปราบกรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ โดยยาเสพติดที่พบมีการระบาดมากที่สุดในขณะนี้คือ ยาบ้ากับกัญชา
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.ชินรัตน์ ฤทธาคณานนท์ ผกก.พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจำนวน 3 คน พร้อมด้วยของกลางกัญชาแห้งอัดแท่งอีก 7 กิโลกรัม และเฮโรอีนจำนวน 0.02 ออน
ขณะที่อีกรายเป็นการจับกุมผู้ต้องหาคดีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย ซึ่งชุดเฉพาะกิจผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตร่วมกับตำรวจตชด.425 ตะกั่วป่า ร่วมกันจับกุมนายอธิวัฒน์ มาทอง อายุ 36 ปี โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าห้องเช่าไม่มีเลขที่ ถ.ศักดิเดช ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต
สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีการลักลอบจำหน่ายยาบ้า จึงได้วางแผนล่อซื้อยาบ้าจากผู้ต้องหาจำนวน 200 เม็ด ในราคา 5,000 บาท และนัดส่งยากันที่บริเวณห้องเช่าไม่มีเลขที่ จึงขยายผลตรวจค้นต่อพบที่บริเวณศาลพระภูมิบริเวณใกล้เคียงพบยาบ้าอีก 1,500 เม็ด จึงควบคุมตัวสอบสวนขยายผลและนำส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี
กระบี่อ่วม "พิษเศรษฐกิจโลก" นักท่องเที่ยวสแกนฯ - ยุโรป หาย
นายกสมาคมท่องเที่ยวกระบี่ครวญพิษเศรษฐกิจโลก ทำท่องเที่ยวกระบี่ไฮซีซันปีนี้ซบเซาอย่างหนัก ยอดจองห้องพักเฉลี่ยไม่ถึง 60%ทั้งๆที่ทุกปียอดจองกว่า70% เผยดึงตลาดใกล้บ้านอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียเข้ามาทดแทนตลาดกลุ่มสแกนฯและยุโรป
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมของ ทุกปี จะเป็นช่วงเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่หรือไฮซีซัน ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นตลาดหลักของจังหวัดกระบี่ แต่พบว่าหลังจากที่เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวปี 2552 มาได้ระหนึ่ง ยังพบว่ายอดจองห้องพักยังไม่ถึง 50% ซึ่งถือว่าต่ำมากหากเทียบกับปีการท่องเที่ยว 2551 โดยยอดจองพักเฉลี่ยช่วงเดียวกันไม่น้อยกว่า 60%
สาเหตุสำคัญที่จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกระบี่น้อย ปัญหาหลักก็ยังเป็นปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะกระเตื้องขึ้นก็ตาม แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเป็นกังวล จึงรอดูท่าทีก่อน หรือออมเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น และนอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไปด้วย จากเดิมที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวเป็นเวลานานก็มีระยะเวลาที่สั้นลง การใช้จ่ายก็ประหยัดขึ้น
นายอิทธิฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาความไม่สงบในบ้านเมือง ทั้งความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่างๆ นักท่องเที่ยวถือว่าไม่มีความรุนแรง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่มีความหวั่นไหว แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ก็ยังมีความหวังว่า การท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่คงจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวคึกคักที่สุดของจังหวัด คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ไม่ต่ำกว่า 60-70 %
นายอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมของ ทุกปี จะเป็นช่วงเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่หรือไฮซีซัน ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มสแกนดิเนเวีย ซึ่งถือว่าเป็นตลาดหลักของจังหวัดกระบี่ แต่พบว่าหลังจากที่เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวปี 2552 มาได้ระหนึ่ง ยังพบว่ายอดจองห้องพักยังไม่ถึง 50% ซึ่งถือว่าต่ำมากหากเทียบกับปีการท่องเที่ยว 2551 โดยยอดจองพักเฉลี่ยช่วงเดียวกันไม่น้อยกว่า 60%
สาเหตุสำคัญที่จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวกระบี่น้อย ปัญหาหลักก็ยังเป็นปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซามาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะกระเตื้องขึ้นก็ตาม แต่นักท่องเที่ยวก็ยังเป็นกังวล จึงรอดูท่าทีก่อน หรือออมเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น และนอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไปด้วย จากเดิมที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนตามแหล่งท่องเที่ยวเป็นเวลานานก็มีระยะเวลาที่สั้นลง การใช้จ่ายก็ประหยัดขึ้น
นายอิทธิฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาความไม่สงบในบ้านเมือง ทั้งความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการชุมนุมของกลุ่มการเมืองต่างๆ นักท่องเที่ยวถือว่าไม่มีความรุนแรง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่มีความหวั่นไหว แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเรื่องเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ก็ยังมีความหวังว่า การท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่คงจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวคึกคักที่สุดของจังหวัด คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ไม่ต่ำกว่า 60-70 %
ไทยแอร์เอเซียเปิดฐานบินที่ 2 มั่นใจอนาคตท่องเที่ยวภูเก็ต
ไทยแอร์เอเชียเปิดฐานการบินที่ 2 กระตุ้นท่องเที่ยวภูเก็ต เต็มรูปแบบ 15 พฤศจิกายน
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 13 ต.ค.ที่ศูนย์การค้าจังซีลอน จ.ภูเก็ต นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต และนายทัศพล แบเลเว็ลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ร่วมเป็นประธานพิธีเปิดฐานการบินที่ 2 ของสายการบินไทยแอร์เอเชียที่ภูเก็ต
นายทัศพลกล่าวว่าสายการบินไทยแอร์เอเชียได้เปิดฐานการบินที่ 2 ที่จังหวัดภูเก็ตเพราะมีศักยภาพพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว การลงทุนและจุดเชื่อมต่อการบินที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงเป็นปลายทางยอดนิยมระดับโลกที่อยู่ในใจนักท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้จังหวัดภูเก็ตคึกคัก ทำรายได้เข้าประเทศมากขึ้น สามารถเดินทางเพื่อท่องเที่ยว และทำธุรกิจได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งนี้บ้านใหม่หลังนี้พร้อมเปิดบริการอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2552 ด้วยสายการบินภูเก็ต-ฮ่องกง ภูเก็ต-เมดาน ภูเก็ต-จาการ์ตา ภูเก็ต-โฮจิมินท์ และภูเก็ต-เชียงใหม่
ทั้งนี้ สายการบินไทยแอร์เอเชียได้ให้บริการมาแล้วสองปี โดยเส้นทางที่นิยมมากคือเส้นทางภูเก็ต-ฮ่องกง นอกจากนี้ยังจะเปิดจองตั๋วสำหรับเส้นทางภูเก็ต -จาการ์ตา และอีกหลากหลายเส้นทางบิน พร้อมทั้งจะทำการตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเตรียมความพร้อมในการให้บริการทั้งเครื่องบินแอร์บัสเอ 320 ที่จะเข้ามาประจำการ 2 ลำ ซึ่งน่าจะสร้างความประทับใจได้เท่ากับฐานการบินที่สุวรรณภูมิ และเบื้องต้นวางแผนรับพนักงานเพิ่มเติมที่ภูเก็ตอีกกว่า 200 อัตราเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ชาวภูเก็ต
นายทัศพลกล่าวอีกว่าในช่วงประเพณีถือศีลกินผักในระหว่างวันที่ 18-26 ตุลาคม 2552 ทางสายการบินไทยแอร์เอเชียจะจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะบินมาสู่ภูเก็ตโดยเฉพาะเส้นทาง สิงคโปร์-ภูเก็ต และมาเลเซีย-ภูเก็ต ซึ่งหากมีการจองเต็มทางสายการบินฯ จะเพิ่มเที่ยวบินพิเศษเพื่อรองรับให้เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตามไฟล์บินที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถรองรับนักท่องเที่ยว ได้เพียงพอ
พังงาเตรียมพร้อมจัดงานเปิดโลกมหัศจรรย์แดนสวรรค์เมืองพังงา
วันที่ 13 ต.ค.นายเยี่ยมสุริยา พาลุสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานเปิดโลกมหัศจรรย์แดนสวรรค์เมืองพังงา(Amazing Phangnga 2009) ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดพังงา โดยมีคณะกรรมการจากภาคราชการและเอกชนเข้าร่วมกว่า 50 คน
นายนฤทธิ์ ประเสริฐเตชาโต สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา กล่าวว่าการจัดงานจะจัดขึ้นในระหว่าวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2552 รวม 3 วัน เวลา 16.00-23.00 น. ส่วนสถานที่เป็นถนนเพชรเกษม 4 เลน บริเวณเขาหลักเซ็นเตอร์-นางทอง ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา สำหรับสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงาได้เสนอโลโก้งานเป็น Nemo Return 2009โดยให้จังหวัดพังงาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแห่งแรกของประเทศไทยเนื่องจากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งพังงาประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงและปล่อยปลา การ์ตูนสายพันธ์อันดามันคืนสู่ทะเลในวันเปิดงาน ที่หาดท้ายเหมืองในช่วง 09.00-12.00 ของวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552
ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา กล่าวว่า การจัดงานเปิดโลกมหัศจรรย์แดนสวรรค์เมืองพังงา(Amazing Phangnga 2009) เป็นการประชาสัมพันธ์สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดพังงาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นผ่านสื่อมวลชนที่มาร่วมงาน เป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้จังหวัดพังงาที่ใส่ใจช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวให้หันกลับมาเที่ยวทางชายฝั่งทะเลอันดามันมากขึ้นเพื่อสนองต่อนโยบายการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวทางชายฝั่งทะเลอันดามันที่ภาครัฐมุ่งมั่นที่จะพัฒนาธุรกิจการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนและฝากคณะกรรมการจัดงานให้ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพราะเป็นการจัดงานที่ชาวต่างประเทศมาเที่ยวชมงานเป็นจำนวนมาก
กินผักกะทู้ยึดปฏิบัติธรรมเนียมดั้งเดิม
ทม.กะทู้ยืนยันพร้อมปฎิบัติตามธรรมเนียมดั้งเดิมของการถือศีลกินผัก หวังสร้างเมืองกะทู้ให้เป็นแหล่งรวมด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ขณะที่ ททท.ภูเก็ต คาดในช่วง 9 วัน มีเงินสะพัดเฉพาะการกินผักไม่ต่ำกว่า 30 ลัาน หากรวมค่าที่พักด้วยไม่ต่ำกว่า 200ล้านบาท
เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ ศาลเจ้ากะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต นายสมิทธิ์ ปาลวัฒน์วิไชย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยนายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ นายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ นางสาววรรณประภา สุขสมบูรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานภูเก็ต นายประเสริฐ ขาวกิจไพศาล ประธานศาลเจ้ากะทู้ และนายอรรถพงษ์ จันทรัตน์วงศ์ รองนายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ ร่วมกันแถลงข่าว การจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2552 ของศาลเจ้ากะทู้ ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ 18-26 ต.ค.
นายสมิทธิ์ ปาลวัฒน์วิไชย รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า รายได้ 80% ของจังหวัดภูเก็ตมาจากการท่องเที่ยว โดยในปี 2550 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 5 ล้านคน มีรายได้ประมาณ 90,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของจังหวัดภูเก็ตพร้อมที่จะสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวในทุกรูปแบบ นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้ว ยังมีประเพณีและวัฒนธรรมที่ถือเป็นรากเหง้าความเป็นมาของคนในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ โดยเฉพาะประเพณีถือศีลกินผักที่คนภูเก็ตได้ยึดถือปฎิบัติกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 150ปี
นายชัยอนันท์ สุทธิกุล นายกเทศมนตรีเมืองกะทู้ กล่าวว่า เนื่องจากจุดกำเนิดของประเพณีถือสีลกินผักมีจุดเริ่มต้นที่ศาลเจ้ากะทู้ ซึ่งเกิดมาจากความเสื่อมใสศรัทธาของพี่น้องประชาชนที่ถือปฎิบัติสืบต่อกันมา และหนึ่งในยุทธศาสตร์การพัฒนาของเทศบาลเมืองกะทู้ได้กำหนดให้เป็นเมืองศูนย์รวมทางด้านวัฒนธรรมประเพณี เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เนื่องจากพื้นที่ของเทศบาลเมืองกะทู้ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ดังนั้นในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ จะเน้นการปฎิบัติตามประเพณีดั้งเดิมในอดีต เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รับทราบความหมายที่แท้จริงของการถือศีลกินผัก และร่วมสืบทอดกันต่อไปตราบนานเท่านาน
ขณะนี้ทางเทศบาลฯ ได้มีการประดับตกแต่งธงสีเหลืองซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของประเพณีตามถนนสายต่างๆ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าขณะนี้ใกล้เข้าสู่ประเพณีที่ดีงามแล้ว นอกจากนี้ยังได้มีการปิดป้ายประชาสัมพันธ์ตามจุดต่างๆ ด้วยเช่นกัน และในวันที่ 17 ตุลาคม นี้ ก็จะมีการประกอบพิธีเปิดซุ้มประตูงานประเพณีถือศีลกินผักศาลเจ้ากะทู้ ที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองกะทู้ด้วย
นางสาววรรณประภา สุขสมบูรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่า ในส่วนของ ททท.สำนักงานภูเก้ตได้เริ่มทำการประชาสัมพันธ์การจัดงานดังกล่าวไปยังสำนักงาน ททท.ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมกันนี้ยังได้นำสื่อมวลชนจากส่วนกลางและต่างประเทศมาพบปะกับตัวแทนของศาลเจ้าต่างๆ เพื่อนำเรื่องราวที่ได้รับทราบไปนำเสนอ และในช่วงของการจัดงานประเพณีถือสีลกินผักทาง ททท.สำนักงานต่างประเทศก็มีการนำคณะสื่อมวลชนในลักษณะของเฟรนทริปเพื่อประชาสัมพันธ์และถ่ายทำสารคดีกิจกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งที่มีการตอบรับมาแล้ว เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง เยอรมันี ฝรั่งเศส เป็นต้น ทั้งคาดว่าในช่วง 9 วันของงานประเพณี จะมีรายได้จากการใช้จ่ายซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับประเพณีถือศีลกินผักจำนวนประมาณ 30 ล้านบาท แต่หากรวมค่าใช้จ่ายเรื่องของที่พักและอื่นๆ ด้วยคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 200 ล้านบาท
ขณะที่นายศิริพัฒ พัฒกุล นายอำเภอกะทู้ กล่าวว่า ในส่วนของอำเภอกะทู้คงเน้นเรื่องของการใช้ประทัดและดอกไม้เพลิงให้เป็นไปตามกรอบของประเพณี และอย่าให้ความสำคัญกับเรื่องของปาฎิหารมากนัก แต่ควรเน้นแก่นแท้ซึ่งเป็นหลักสำคัญของการประเพณีที่แท้จริง
08 ตุลาคม 2552
07 ตุลาคม 2552
ตำรวจเมืองภูเก็ตจับผู้ต้องหาก่อเหตุทุบกระจกรถยนต์ขโมยทรัพย์สินของประชาชน
7 ต.ค.52 ที่ห้องประชุมชั้น 2 สภ.เมืองภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงษ์ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต พร้อมด้วย พ.ต.อ.วันไชย เอกพรพิชญ์ ผกก.สภ.เมืองภูเก็ต และ พ.ต.ท.ชัยวัฒน์ อุ้ยคำ รอง ผกก.ปป.สภ.เมืองภูเก็ต แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายพงค์พล บุญเดชปิติ อายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 ซอย 10 ถ.อนุภาษภูเก็ตการ ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต นายกฤษณะ เชื้อนุ่น อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100/201 ม.1 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต นายอรรคพล ชูแก้ว อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105/138 ม.1 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต และนายกุญชร ทองสมุทร อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/2 ถ.หลวงพ่อ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต โดยกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนทำให้เสียทรัพย์หรือรับของโจร
ทั้งนี้ ก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากชาวบ้านอย่างต่อเนื่องว่ามีคนร้ายออกตระเวณก่อเหตุทุบกระจกรถยนต์ของประชาชนที่จอดอยู่บริเวณถนนสายต่างๆเพื่อลักทรัพย์จำนวนหลายครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนได้ได้วางแผนออกติดตามหาตัวผู้กระทำความผิด
จนกระทั่งทราบว่า นายพงค์พล พร้อมพวก เป็นผู้กระทำผิดจึงขออนุมัติหมายศาลภูเก็ตเข้าตรวจค้นบ้านผู้ต้องหา สามารถยึดทรัพย์สินได้หลายรายการ จึงนำตัวไปสอบสอบสวน พร้อมให้ผู้เสียหายมายืนยันทรัพย์สิน โดยของกลางที่ตรวจยึดได้ประกอบด้วยอาวุธปืนพกสั้น จำนวน 1 กระบอก พร้อมแม็กกาซีน 1 อัน เครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คยี่ห้อต่าง ๆ จำนวน 3 เครื่อง กล้องถ่ายรูป จำนวน 1 เครื่อง แหวนเพชร 1 วง และอื่น ๆ อีก รวม 11 รายการ จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตดำเนินคดี
นอกจากนี้ จากการตรวจค้นเพิ่มเติมที่บ้านของนายกุญชร ทองสมุทร เลขที่ 109/158 ซ.3 ม.1 ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ยังพบยาเสพติดกัญชา ชนิดบด จำนวน 1 ห่อ ชนิดอัดแท่ง อีก 1 ห่อ พร้อมกระสุนปืนขนาด 9 มม.อีก จำนวน 23 นัด เจ้าหน้าที่จึงยึดไว้เป็นของกลาง และแจ้งข้อกล่าวหา “มียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต” ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
06 ตุลาคม 2552
"ชัยรัตน์"ติง ผกก.กะทู้ จัดระเบียบซอยบางลา หาดป่าตอง ต้องครอบคลุมทุกกลุ่ม
รองนายกฯ“ชัยรัตน์”เทศบาลเมืองป่าตองติง กรณี ผกก. สภ.กะทู้ ที่วางมาตรการ ออกเสื้อแขวนป้าย จัดระเบียบ ให้พนักงาน อะโกโก้ ซอยบางลา หาดป่าตอง ไม่ครอบคลุมจนเป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
นายชัยรัตน์ สุขบาล รองนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองกะทู้ จ.ภูเก็ต ออกโรงโต้ กรณี พ.ต.อ.กฤษศักดิ์ สงมูลนาค ผกก.สภ.กะทู้ จัดระเบียบพนักงานชายที่เชียร์นักท่องเที่ยวเข้าชมอะโกโก้ ซอยบางลา หาดป่าตอง จนเป็นเรื่องให้เด็กเชียร์แขกอะโกโก้ทำร้ายกันจนบาดเจ็บสาหัส เมื่อคืนที่ผ่านมา
นายชัยรัตน์ กล่าวว่า สาเหตุเกิดจากการออกเสื้อ สีม่วงให้กับกลุ่มพนักงานในซอยบางลา จำนวน 89 ตัวและมีป้ายแขวนคอเรียบร้อย ถือเป็นการจัดระเบียบอย่างสวยหรู แต่การแจกเสื้อแบ่งโซน ไม่ดำเนินการให้หมดทุกคนที่มีอยู่ ในพื้นที่ในซอยดังกล่าว ทำให้มีผู้ที่ไม่มีเสื้อ ตกค้างอยู่ อีกหลายคน จนเป็นเหตุ ให้ทะเลาะกัน เพราะถ้าไม่มีเสื้อ คือไม่มีสิทธิ์ที่จะออกมาเชียร์ลูกค้าภายในซอยบางลาดังกล่าวความขัดแย้งในเรื่องนี้ จึงเกิดขึ้นฯ จนให้มีเหตุได้ทะเลาะกันฯ
นายชัยรัตน์ สุขบาล รองนายกฯกล่าวเพิ่มอีกว่า ในการจัดระเบียบนั้น ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องจัดระเบียบให้ถูกจุดฯ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น นอกจากนี้จะต้องจัดระเบียบเรื่องราคาที่แพงมากๆ ในราคาเหล้าแก้ว-เบียร์ขวด-น้ำโค้ก-น้ำเปล่าในขวดละ 500 -800 บาทแพงที่สุดในโลก ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นักท่องเที่ยวร้องเรียนและนำข่าวไปตีแผ่ตาม อินเตอร์เน็ต โจมตีประเทศไทยมาเที่ยว บันเทิง หาดป่าตอง ค่าเครื่องดื่มราคาแพงมากๆ ซึ่งเป็นการทำลายการท่องเที่ยวโดยสิ้นเชิงฯ ผลจากากรตรวจสอบตาม ร้านจำหน่ายเครื่องดื่มที่เปิดบริการอะโกโก้ ได้เปิดจำหน่ายราคาตามเมนู ในราคาเริ่มต้นที่ 120-200-300 บาท ท่านั้น ก็ถือว่าพอดีในการจำหน่ายเครื่องดื่มและดูโชว์ฯ แต่เมนู ที่พนักงานชายนำเสนอนักท่องเที่ยวภายในซอยบางลา ถือว่าจำนวนแพงมาก
จึงอยากจะให้ผู้กำกับฯช่วยดำเนินการเมนูราคาแพง ของพนักงานชาย ในซอยบางลาด้วย แล้วจะเกิดผลดีต่อการท่องเที่ยวฯ ซึ่งถ้าเป็นแบบเดิมอยู่ หน่วยงานท้องถิ่น ไม่เห็นด้วยในการดำเนินการจัดระเบียบของผู้กำกับ นายชัยรัตน์ กล่าว
เทศบาลรัษฎาภูเก็ตนำผู้ประกวด “มิสทีนฯ” เที่ยวจุดชมลิง ดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
เทศบาลรัษฎาภูเก็ตพร้อมรับผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ชมแหล่งท่องเที่ยวจุดชมลิงหวังเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เตรียมพัฒนาจุดชมลิงเต็มรูปแบบสร้างศาลา-สะพานชมระบบนิเวศใช้งบ 60 ล้านบาทระบุช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแก้ปัญหาลิงอดยาก
นายสุรทิน เลี่ยนอุดม นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับผู้เข้าร่วมประกวดมิสทีนไทยแลนด์ที่จะเดินทางมาเก็บตัวที่จังหวัดภูเก็ตและมีกำหนดการเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวบริเวณจุดชมลิงเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ตว่า ทางเทศบาลฯ ได้รับการติดต่อประสานงานจากทางบริษัท อินสไพร์เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ในเครือสยามสปอร์ตชินดิเดท จำกัด จะนำคณะผู้เข้าประกวดมีสทีนไทยแลดน์มาเก็บตัวที่ จ.ภูเก็ต และจะมีการนำเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อบันทึกวีทีอาร์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงเผยแพร่ในช่วงของการประกวดต่อไปด้วยในระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคมนี้
สำหรับในส่วนของเทศบาลตำบลรัษฎานั้น ทางผู้จัดประกวดจะนำคณะสาวงามทั้งหมดไปเที่ยวชมและทำกิจกรรมบริเวณจุดชมลิงเกาะสิเหร่ ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพื่อเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเข้าไปดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้มีความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาด เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ ต.รัษฎา ต่อไปในอนาคตด้วย
สำหรับสาเหตุที่ผู้จัดประกวดเลือกนำผู้เข้าประกวดมาทำกิจกรรมที่จุดชมลิง เนื่องจากมองว่าบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของพื้นที่อีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่ที่นำบุตรหลานมาดูลิงในช่วงวันหยุดหรือช่วงเย็นๆของทุกวัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะมีลิงออกมากินอาหารที่ชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวนำไปให้จำนวนมาก
นายสุรทินกล่าวต่อไปว่า สำหรับการพัฒนาจุดชมลิงเกาะสิเหร่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ตนั้น ที่ผ่านมาทางเทศบาลฯ ได้มีการทำโครงการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และสร้างแหล่งท่องเที่ยวศึกษาระบบนิเวศขึ้นเพื่อจะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมทั้งยังจะช่วยแก้ไขปัญหาลิงซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลนดังกล่าว และออกมาหาอาหารกินถูกรถชนเสียชีวิตได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปดำเนินการ จัดระเบียบร้านค้าให้มีความสวยงามและอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด รวมทั้งจัดเก็บขยะในคลองกั้นระหว่างป่าชายเลนกับถนน รวมทั้งปรับแต่งสภาพภูมิทัศน์ให้มีความสวยงาม
ส่วนการพัฒนาแบบเต็มรูปแบบในบริเวณดังกล่าว นายสุรทินกล่าวว่า จะมีการสร้างสะพานเข้าไปในป่าชายเลนซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ รวมทั้งสร้างศาลาเพื่อชมและศึกษาระบบนิเวศน์ป่าชายเลน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการประมาณ 60 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างของการขอสนับสนุนงบประมาณ หากสามารถดำเนินการได้ บริเวณดังกล่าวก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ตนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมลิงแล้ว ยังสามารถเข้าไปศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน
รวมทั้งยังเป็นการช่วยกันรักษาชีวิตของลิงในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เพราะหากมีการสร้างสะพานเข้าไปนักท่องเที่ยวก็สามารถที่จะเข้าไปให้อาหารในป่าชายเลนได้ทำให้ลิงไม่ขึ้นมาวิ่งเล่นหรือหากินบนถนนเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกรถชนได้ ตลอดจนยังเป็นช่วยแก้ไขปัญหาลิงเข้าไปรบกวนชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงด้วย เนื่องจากปัจจุบันเทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนเรื่องของลิงเข้าไปรบกวนอย่างต่อเนื่อง
เทศบาลรัษฎาภูเก็ตนำผู้ประกวด “มิสทีนฯ” เที่ยวจุดชมลิง ดันเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
เทศบาลรัษฎาภูเก็ตพร้อมรับผู้เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ชมแหล่งท่องเที่ยวจุดชมลิงหวังเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เตรียมพัฒนาจุดชมลิงเต็มรูปแบบสร้างศาลา-สะพานชมระบบนิเวศใช้งบ 60 ล้านบาทระบุช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแก้ปัญหาลิงอดยาก
นายสุรทิน เลี่ยนอุดม นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับผู้เข้าร่วมประกวดมิสทีนไทยแลนด์ที่จะเดินทางมาเก็บตัวที่จังหวัดภูเก็ตและมีกำหนดการเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวบริเวณจุดชมลิงเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ตว่า ทางเทศบาลฯ ได้รับการติดต่อประสานงานจากทางบริษัท อินสไพร์เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ในเครือสยามสปอร์ตชินดิเดท จำกัด จะนำคณะผู้เข้าประกวดมีสทีนไทยแลดน์มาเก็บตัวที่ จ.ภูเก็ต และจะมีการนำเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อบันทึกวีทีอาร์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงเผยแพร่ในช่วงของการประกวดต่อไปด้วยในระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคมนี้
สำหรับในส่วนของเทศบาลตำบลรัษฎานั้น ทางผู้จัดประกวดจะนำคณะสาวงามทั้งหมดไปเที่ยวชมและทำกิจกรรมบริเวณจุดชมลิงเกาะสิเหร่ ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพื่อเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเข้าไปดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้มีความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาด เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ ต.รัษฎา ต่อไปในอนาคตด้วย
สำหรับสาเหตุที่ผู้จัดประกวดเลือกนำผู้เข้าประกวดมาทำกิจกรรมที่จุดชมลิง เนื่องจากมองว่าบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของพื้นที่อีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่ที่นำบุตรหลานมาดูลิงในช่วงวันหยุดหรือช่วงเย็นๆของทุกวัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะมีลิงออกมากินอาหารที่ชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวนำไปให้จำนวนมาก
นายสุรทินกล่าวต่อไปว่า สำหรับการพัฒนาจุดชมลิงเกาะสิเหร่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ตนั้น ที่ผ่านมาทางเทศบาลฯ ได้มีการทำโครงการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และสร้างแหล่งท่องเที่ยวศึกษาระบบนิเวศขึ้นเพื่อจะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมทั้งยังจะช่วยแก้ไขปัญหาลิงซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลนดังกล่าว และออกมาหาอาหารกินถูกรถชนเสียชีวิตได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปดำเนินการ จัดระเบียบร้านค้าให้มีความสวยงามและอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด รวมทั้งจัดเก็บขยะในคลองกั้นระหว่างป่าชายเลนกับถนน รวมทั้งปรับแต่งสภาพภูมิทัศน์ให้มีความสวยงาม
ส่วนการพัฒนาแบบเต็มรูปแบบในบริเวณดังกล่าว นายสุรทินกล่าวว่า จะมีการสร้างสะพานเข้าไปในป่าชายเลนซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ รวมทั้งสร้างศาลาเพื่อชมและศึกษาระบบนิเวศน์ป่าชายเลน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการประมาณ 60 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างของการขอสนับสนุนงบประมาณ หากสามารถดำเนินการได้ บริเวณดังกล่าวก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ตนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมลิงแล้ว ยังสามารถเข้าไปศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน
รวมทั้งยังเป็นการช่วยกันรักษาชีวิตของลิงในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เพราะหากมีการสร้างสะพานเข้าไปนักท่องเที่ยวก็สามารถที่จะเข้าไปให้อาหารในป่าชายเลนได้ทำให้ลิงไม่ขึ้นมาวิ่งเล่นหรือหากินบนถนนเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกรถชนได้ ตลอดจนยังเป็นช่วยแก้ไขปัญหาลิงเข้าไปรบกวนชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงด้วย เนื่องจากปัจจุบันเทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนเรื่องของลิงเข้าไปรบกวนอย่างต่อเนื่อง
นายสุรทิน เลี่ยนอุดม นายกเทศมนตรีตำบลรัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการต้อนรับผู้เข้าร่วมประกวดมิสทีนไทยแลนด์ที่จะเดินทางมาเก็บตัวที่จังหวัดภูเก็ตและมีกำหนดการเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวบริเวณจุดชมลิงเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ตว่า ทางเทศบาลฯ ได้รับการติดต่อประสานงานจากทางบริษัท อินสไพร์เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ในเครือสยามสปอร์ตชินดิเดท จำกัด จะนำคณะผู้เข้าประกวดมีสทีนไทยแลดน์มาเก็บตัวที่ จ.ภูเก็ต และจะมีการนำเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อบันทึกวีทีอาร์แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียงเผยแพร่ในช่วงของการประกวดต่อไปด้วยในระหว่างวันที่ 14-18 ตุลาคมนี้
สำหรับในส่วนของเทศบาลตำบลรัษฎานั้น ทางผู้จัดประกวดจะนำคณะสาวงามทั้งหมดไปเที่ยวชมและทำกิจกรรมบริเวณจุดชมลิงเกาะสิเหร่ ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพื่อเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวให้รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเข้าไปดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ให้มีความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาด เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ ต.รัษฎา ต่อไปในอนาคตด้วย
สำหรับสาเหตุที่ผู้จัดประกวดเลือกนำผู้เข้าประกวดมาทำกิจกรรมที่จุดชมลิง เนื่องจากมองว่าบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของพื้นที่อีกแห่งหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่ที่นำบุตรหลานมาดูลิงในช่วงวันหยุดหรือช่วงเย็นๆของทุกวัน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะมีลิงออกมากินอาหารที่ชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวนำไปให้จำนวนมาก
นายสุรทินกล่าวต่อไปว่า สำหรับการพัฒนาจุดชมลิงเกาะสิเหร่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ตนั้น ที่ผ่านมาทางเทศบาลฯ ได้มีการทำโครงการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์และสร้างแหล่งท่องเที่ยวศึกษาระบบนิเวศขึ้นเพื่อจะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมทั้งยังจะช่วยแก้ไขปัญหาลิงซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณป่าชายเลนดังกล่าว และออกมาหาอาหารกินถูกรถชนเสียชีวิตได้ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเข้าไปดำเนินการ จัดระเบียบร้านค้าให้มีความสวยงามและอยู่ในพื้นที่ที่กำหนด รวมทั้งจัดเก็บขยะในคลองกั้นระหว่างป่าชายเลนกับถนน รวมทั้งปรับแต่งสภาพภูมิทัศน์ให้มีความสวยงาม
ส่วนการพัฒนาแบบเต็มรูปแบบในบริเวณดังกล่าว นายสุรทินกล่าวว่า จะมีการสร้างสะพานเข้าไปในป่าชายเลนซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ รวมทั้งสร้างศาลาเพื่อชมและศึกษาระบบนิเวศน์ป่าชายเลน ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการประมาณ 60 ล้านบาท ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างของการขอสนับสนุนงบประมาณ หากสามารถดำเนินการได้ บริเวณดังกล่าวก็จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ตนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมลิงแล้ว ยังสามารถเข้าไปศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน
รวมทั้งยังเป็นการช่วยกันรักษาชีวิตของลิงในพื้นที่ดังกล่าวด้วย เพราะหากมีการสร้างสะพานเข้าไปนักท่องเที่ยวก็สามารถที่จะเข้าไปให้อาหารในป่าชายเลนได้ทำให้ลิงไม่ขึ้นมาวิ่งเล่นหรือหากินบนถนนเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกรถชนได้ ตลอดจนยังเป็นช่วยแก้ไขปัญหาลิงเข้าไปรบกวนชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงด้วย เนื่องจากปัจจุบันเทศบาลฯ ได้รับการร้องเรียนเรื่องของลิงเข้าไปรบกวนอย่างต่อเนื่อง
ภูเก็ตผุด “ศูนย์วัฒนธรรมชาวไทยใหม่เกาะสิเหร่”หวังฟื้นวิถีชีวิต-ภูมิปัญญาสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่
ข่าว ผู้จัดการออนไลน์
ภูเก็ตเตรียมผุดศูนย์วัฒนธรรมชาวไทยใหม่อูรักละโว้ย หวังฟื้นฟูวิถีชีวิต-ภูมิปัญญา และสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ด้านวัฒนธรรม
วันนี้ (6 ต.ค) นายอนุกูล แสงทองฉาย โยธาธิการและผังเมือง จ.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เข้าพบนายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ห้องทำงาน ชั้น 2 ศาลกาลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อหารือเรื่องการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรม อูรักลาโว้ย บ้านแหลมตุ๊กแก หมู่ที่ 4 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิต ภูมิปัญหาของชาวไทยใหม่บ้านแหลมตุ๊กแก อ.เมือง จ.ภูเก็ต รวมทั้งสร้างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดภูเก็ต
นายอนุกูล กล่าวว่า ศูนย์วัฒนธรรมชาวไทยใหม่ที่จะสร้างนั้น เป็นความร่วมมือของจังหวัดภูเก็ต โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ต เทศบาลตำบลรัษฎา วัฒนธรรม จังหวัดภูเก็ต ที่จะก่อวร้างขึ้นเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวไทยใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีประเพณีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และมีประเพณีเฉพาะ โดยการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมนั้นจะก่อสร้างบนเนื้อที่ 4 ไร่เศษ ใกล้ทางเข้าหมู่บ้านสึนามิ บ้านแหลมตุ๊กแก ม.4 ต.รัษฎา รูปแบบอาคารจะออกแบบเป็นลอบดักปลาของชาวเล เพื่ออนุรักษ์วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวเล
สำหรับ ตัวอาคารจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก อาคารจัดแสดงนิทรรศการ ภายในมีนิทรรศการถาวร กิจกรรมสาธิต ห้องสมุด ส่วนที่ 2 เป็นส่วนต้อนรับ ขายของที่ระลึก นักท่องเที่ยว ส่วนที่ 3 เป็นอาคารกิจกรรมมีลานน้ำพุ เวทีกลางแจ้ง และสวนสาธารณะ โดยงบประมาณได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม 2 ล้านบาทเศษ จากงบประมาณที่ต้องใช้ประมาณ 4 ล้านบาทเศษ
ในขณะที่นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ศูนย์วัฒนธรรมดังกล่าวนอกจากเป็นการบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวไทยใหม่ และประวัติความเป็นมาแล้ว ยังเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา ที่สำคัญยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติด้วย
ภูเก็ตเตรียมผุดศูนย์วัฒนธรรมชาวไทยใหม่อูรักละโว้ย หวังฟื้นฟูวิถีชีวิต-ภูมิปัญญา และสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ด้านวัฒนธรรม
วันนี้ (6 ต.ค) นายอนุกูล แสงทองฉาย โยธาธิการและผังเมือง จ.ภูเก็ต และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เข้าพบนายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ที่ห้องทำงาน ชั้น 2 ศาลกาลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อหารือเรื่องการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรม อูรักลาโว้ย บ้านแหลมตุ๊กแก หมู่ที่ 4 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิต ภูมิปัญหาของชาวไทยใหม่บ้านแหลมตุ๊กแก อ.เมือง จ.ภูเก็ต รวมทั้งสร้างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของจังหวัดภูเก็ต
นายอนุกูล กล่าวว่า ศูนย์วัฒนธรรมชาวไทยใหม่ที่จะสร้างนั้น เป็นความร่วมมือของจังหวัดภูเก็ต โยธาธิการและผังเมืองจังหวัดภูเก็ต เทศบาลตำบลรัษฎา วัฒนธรรม จังหวัดภูเก็ต ที่จะก่อวร้างขึ้นเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวไทยใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีประเพณีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ และมีประเพณีเฉพาะ โดยการก่อสร้างศูนย์วัฒนธรรมนั้นจะก่อสร้างบนเนื้อที่ 4 ไร่เศษ ใกล้ทางเข้าหมู่บ้านสึนามิ บ้านแหลมตุ๊กแก ม.4 ต.รัษฎา รูปแบบอาคารจะออกแบบเป็นลอบดักปลาของชาวเล เพื่ออนุรักษ์วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวเล
สำหรับ ตัวอาคารจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก อาคารจัดแสดงนิทรรศการ ภายในมีนิทรรศการถาวร กิจกรรมสาธิต ห้องสมุด ส่วนที่ 2 เป็นส่วนต้อนรับ ขายของที่ระลึก นักท่องเที่ยว ส่วนที่ 3 เป็นอาคารกิจกรรมมีลานน้ำพุ เวทีกลางแจ้ง และสวนสาธารณะ โดยงบประมาณได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม 2 ล้านบาทเศษ จากงบประมาณที่ต้องใช้ประมาณ 4 ล้านบาทเศษ
ในขณะที่นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ศูนย์วัฒนธรรมดังกล่าวนอกจากเป็นการบ่งบอกถึงวิถีชีวิตของชาวไทยใหม่ และประวัติความเป็นมาแล้ว ยังเป็นสถานที่ศึกษาดูงานของส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียน นักศึกษา ที่สำคัญยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติด้วย
04 ตุลาคม 2552
อภิสิทธิ์ยัดเยียดให้ชาวบ้านดูตัวเองออกทีวี..ไม่ละเมิดไปหน่อยหรือครับ...?
โดย คุณ ขนมต้ม
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
4 ตุลาคม 2552
เรื่องของเรื่องก็คือ กรณีที่ทีมงานของใครก็ไม่ทราบ ไปเอารายการเชื่อมั่นกับอภิสิทธิ์ไปออกทางช่อง 3 ทำให้ประชาชน ที่เขาจะรอดูรายการปรกติของเขา เกิดอาการเดือดแค้นไปตามๆ กัน
นี่มันแสดงให้เห็นถึง "ความสิ้นคิด" และ "จนตรอก" ของรัฐบาลอภิสิทธิ์แล้วใช่มั้ย?
ผมไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่า อภิสิทธิ์ต้องการโชว์ให้ชาวบ้านเขาเห็นว่า "กระผมทำอะไรไปบ้าง"
แต่อภิสิทธิ์คิดไม่ออก ....ก็เลยต้องให้คนมาถาม ...เพราะถ้าคนถาม ..ก็เหมือนกับคนเขาสนใจ...
ในยุคของรัฐบาลทักษิณ ผมเห็นเขาก็คุยทางวิทยุ ....วิทยุอย่างเดียว ไม่เคยเสนอหน้ามาให้ดูในช่อง 11 เลย
รายการของทักษิณนั้น ผู้คนติดตามฟังกันทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ในหลวง ยังทรงรับสั่งให้ได้ยินกันไปทั่วว่า พระองค์ก็ทรงติดตามรับฟังด้วยเช่นกัน เพราะได้ความรู้ดี
ต่อมาในยุค พล.อ.สุรยุทธ์ ก็จะจัดรายการคล้ายๆ กันนี่แหละ ก็ไม่เห็นเขาจะต้องไปออกช่องอื่นเหมือนอภิสิทธิ์
รายการของคุณสมัคร ถึงจะออกทีวีก็ตาม ผู้คนที่ติดตาม ก็ได้รับฟังความรู้อะไรเยอะแยะจากคุณสมัคร เพราะถือว่าเป็น "นักปราชญ์" คนหนึ่งของเมืองไทย
มาดูรายการของอภิสิทธิ์บ้าง ..เรทติ้งไม่ดี อันนี้ทุกคนก็รู้ ..แต่ขอร้องว่า อย่าหาอะไรแปลกๆ มาเรียกเรตติ้งเพราะผมดูแล้ว ขนาดเอาสรยุทธ์มาสัมภาษณ์ ก็ยังมีคนด่าจมหู...
ต่อไปสาทิตย์ มิต้องให้จัดรายการโคโยตี้ มาเต้นโชว์เป็นแบล็คกราวด์ เพื่อเรียกคนดูหรือ??
นี่แหละเขาเรียกว่า ไม่ดูตัวเอง ไม่ดูว่า ทำไมรายการของตัวเอง คนถึงไม่ชอบ...
ถ้ายังไม่รู้คำตอบ ก็สมควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วครับ
และขอร้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ การกระทำในทำนอง "มัดมือชก" หรือ "ยัดเยียด" ให้ประชาชนประเภทนี้ ...จงอย่าทำต่อไปอีก
เพราะจำได้ว่า ตอนอภิสิทธิ์ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ยังให้เขาส่ง SMS ขอบคุณชาวบ้าน และประกาศนโยบาย (ขอบคุณทำไมก็ไม่ทราบ..)
นั่นก็ยัดเยียดให้คนมาคราวนี้ ก็ยัดเยียดให้คนอีก
ผมนึกถึง เวลาพวกชอบจับอะไรยัดเข้าปากคนที่ไม่อยากจะกิน.. เขามักจะถ่มพรวดออกมาเลอะหน้าคนป้อน
ถ้าไม่มีใครชอบ ก็ลาออกไปได้แล้วอภิสิทธิ์.. อย่ามาเล่นการเมืองเลยครับ กลับไปอังกฤษดีกว่า เผื่อที่นั่นจะมีคนชอบบ้าง
ก็ไม่ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ ชอบ "ยัดเยียด" อะไรให้ชาวบ้านจนเคยตัวหรือเปล่า โดยที่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบหรือเปล่า
(ปล. เห็นรายการยัดเยียดให้ชาวบ้านซื้อของแพงๆ แล้วก็ปลงสังเวช)
วันก่อนดูช่อง CNN เขาเสนอข่าวที่ ซาร่า เพลิน อดีตผู้สมัครรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปปาฐกถาที่ฮ่องกง นักข่าว เขาก็เอารูปของเพลิน ไปให้คนฮ่องกงที่เดินตามถนนดู แล้วก็ถามว่า รู้จักมั้ย นี่ใครเชื่อมั้ยครับ ทุกคนตอบว่า ไม่รู้ ..ดาราหรือเปล่า? อะไรทำนองนั้น
นั่นหมายถึงอะไร นั่นหมายถึงว่า ต่างประเทศนั้น เขาไม่ได้ยัดเยียดให้ประชาชนได้ติดตามข่าวการเมืองแบบเป็นบ้าเป็นหลัง เหมือนประเทศไทยนี้
คนอาจจะบอกว่า ให้สนใจการเมืองหน่อยสิ ...นายกฯ อุตส่าห์มาพูดให้ฟัง
คนก็ตอบว่า อ้าว ..ก็มีช่อง 11 อยู่แล้วไง ทำไมไม่ไปพูดที่นั่น คนสนใจการเมืองก็จะได้ติดตามดูเอง
ผมจำได้ว่า ตอนที่ทักษิณพูดในวิทยุสมัยก่อนนั้น ..มีคน (เหลือง) ในราชดำเนินบอกว่า ยัดเยียดทำไม ..อยากฟังเพลง.. ก็มีคนตอบไปว่า คุณไม่อยากฟังคลื่นนี้ ก็ไปหาคลื่นใหม่สิ วิธีแก้ปัญหาง่ายนิดเดียว
แต่สำหรับอภิสิทธิ์ ..อันนี้ หมุนไปช่องไหนก็เจอ ยิ่งเป็นช่อง 3 ด้วยแล้ว บันเทิงล้วนๆ เลย
ทั้งปวงนี้ ...เป็นเพราะประชาชนไม่รู้ว่า อภิสิทธิ์ กำลัง "พล่าม" อะไรให้เขาฟัง ประเภทมีแต่คำพูด ความจริง มันน่าจะหมดไปจากเมืองไทยได้ตั้งนานแล้ว พวกนักการเมืองดีแต่ปากประเภทนี้ ก็ไม่นึกเช่นกันว่า ยังมีการเผยแพร่พันธุ์ผ่านทางสื่อได้ด้วย
สมัยก่อน ประชาธิปัตย์เขาโจมตีรัฐบาลทักษิณว่า แทรกแซงสื่อ ...ที่ไหนได้ สื่อมันแทรกแซงประชาชนต่างหาก
เห็นวันก่อน ใครก็ไม่ทราบในประชาธิปัตย์ ออกมาบอกว่า สมัยทักษิณแทรกแซงโดยการไม่ซื้อโฆษณาสื่อที่ไม่เชียร์รัฐบาล
ผมก็ว่า มันเป็นสิทธิ์ของใครก็ตาม ที่จะไม่ลงโฆษณา ...ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
แต่ในยุคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลนี่ ...เอาทุกอย่าง ใครไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล จะต้องมีอันเป็นไปแทบทุกราย
เริ่มต้นมาก็ ..รายการความจริงวันนี้ของสามเกลอ ..เมื่อก่อนอยู่ช่อง NBT แต่ก็ไปถอนของเขาออก แล้วบอกว่า ผมไม่ได้แทรกแซงนะ
แล้วก็เปลี่ยนโลโก้ช่อง NBT เสียสตังค์ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ โดยไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แถมยังทำให้ช่องที่เขาทำข่าวดีๆ กลายเป็นช่องเชลียร์รัฐบาลไปเสียนี่
แล้วก็มาฮึ่มๆ ทั้งช่อง ThaiTPBS กรณีไปเจาะข่าวเหมืองเพชรทักษิณ จนเทพชัยหย่อง ต้องออกมาปะหลก ๆ แล้วก็ปลด ผอ.ช่อง NBT ออก
แค่นั้นยังไม่พอ ...เอาขึ้นปกนิตยสารอะไรก็จำไม่ได้ ...เพราะไม่เคยอ่าน
คือ กะจะให้คนไทยจำหน้าอภิสิทธิ์ให้ได้ว่า ...หน้าตา ..ปากนิด ..จมูกหน่อยยังงี้นะ ..คนจะได้ไม่ทักผิด คิดว่า ทักษิณยังเป็นนายกอยู่
ใช่มั้ย สาทิตย์?
วอร์รูํมของประชาธิปัตย์นี่ทำงานไม่เข้าท่า ..หาเรื่องให้อภิสิทธิ์โดนชาวบ้านด่าได้ประจำ!
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
4 ตุลาคม 2552
เรื่องของเรื่องก็คือ กรณีที่ทีมงานของใครก็ไม่ทราบ ไปเอารายการเชื่อมั่นกับอภิสิทธิ์ไปออกทางช่อง 3 ทำให้ประชาชน ที่เขาจะรอดูรายการปรกติของเขา เกิดอาการเดือดแค้นไปตามๆ กัน
นี่มันแสดงให้เห็นถึง "ความสิ้นคิด" และ "จนตรอก" ของรัฐบาลอภิสิทธิ์แล้วใช่มั้ย?
ผมไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย เพราะเข้าใจว่า อภิสิทธิ์ต้องการโชว์ให้ชาวบ้านเขาเห็นว่า "กระผมทำอะไรไปบ้าง"
แต่อภิสิทธิ์คิดไม่ออก ....ก็เลยต้องให้คนมาถาม ...เพราะถ้าคนถาม ..ก็เหมือนกับคนเขาสนใจ...
ในยุคของรัฐบาลทักษิณ ผมเห็นเขาก็คุยทางวิทยุ ....วิทยุอย่างเดียว ไม่เคยเสนอหน้ามาให้ดูในช่อง 11 เลย
รายการของทักษิณนั้น ผู้คนติดตามฟังกันทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ในหลวง ยังทรงรับสั่งให้ได้ยินกันไปทั่วว่า พระองค์ก็ทรงติดตามรับฟังด้วยเช่นกัน เพราะได้ความรู้ดี
ต่อมาในยุค พล.อ.สุรยุทธ์ ก็จะจัดรายการคล้ายๆ กันนี่แหละ ก็ไม่เห็นเขาจะต้องไปออกช่องอื่นเหมือนอภิสิทธิ์
รายการของคุณสมัคร ถึงจะออกทีวีก็ตาม ผู้คนที่ติดตาม ก็ได้รับฟังความรู้อะไรเยอะแยะจากคุณสมัคร เพราะถือว่าเป็น "นักปราชญ์" คนหนึ่งของเมืองไทย
มาดูรายการของอภิสิทธิ์บ้าง ..เรทติ้งไม่ดี อันนี้ทุกคนก็รู้ ..แต่ขอร้องว่า อย่าหาอะไรแปลกๆ มาเรียกเรตติ้งเพราะผมดูแล้ว ขนาดเอาสรยุทธ์มาสัมภาษณ์ ก็ยังมีคนด่าจมหู...
ต่อไปสาทิตย์ มิต้องให้จัดรายการโคโยตี้ มาเต้นโชว์เป็นแบล็คกราวด์ เพื่อเรียกคนดูหรือ??
นี่แหละเขาเรียกว่า ไม่ดูตัวเอง ไม่ดูว่า ทำไมรายการของตัวเอง คนถึงไม่ชอบ...
ถ้ายังไม่รู้คำตอบ ก็สมควรจะพิจารณาตัวเองได้แล้วครับ
และขอร้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ การกระทำในทำนอง "มัดมือชก" หรือ "ยัดเยียด" ให้ประชาชนประเภทนี้ ...จงอย่าทำต่อไปอีก
เพราะจำได้ว่า ตอนอภิสิทธิ์ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ยังให้เขาส่ง SMS ขอบคุณชาวบ้าน และประกาศนโยบาย (ขอบคุณทำไมก็ไม่ทราบ..)
นั่นก็ยัดเยียดให้คนมาคราวนี้ ก็ยัดเยียดให้คนอีก
ผมนึกถึง เวลาพวกชอบจับอะไรยัดเข้าปากคนที่ไม่อยากจะกิน.. เขามักจะถ่มพรวดออกมาเลอะหน้าคนป้อน
ถ้าไม่มีใครชอบ ก็ลาออกไปได้แล้วอภิสิทธิ์.. อย่ามาเล่นการเมืองเลยครับ กลับไปอังกฤษดีกว่า เผื่อที่นั่นจะมีคนชอบบ้าง
ก็ไม่ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้ ชอบ "ยัดเยียด" อะไรให้ชาวบ้านจนเคยตัวหรือเปล่า โดยที่ไม่รู้ว่า เขาจะชอบหรือเปล่า
(ปล. เห็นรายการยัดเยียดให้ชาวบ้านซื้อของแพงๆ แล้วก็ปลงสังเวช)
วันก่อนดูช่อง CNN เขาเสนอข่าวที่ ซาร่า เพลิน อดีตผู้สมัครรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางไปปาฐกถาที่ฮ่องกง นักข่าว เขาก็เอารูปของเพลิน ไปให้คนฮ่องกงที่เดินตามถนนดู แล้วก็ถามว่า รู้จักมั้ย นี่ใครเชื่อมั้ยครับ ทุกคนตอบว่า ไม่รู้ ..ดาราหรือเปล่า? อะไรทำนองนั้น
นั่นหมายถึงอะไร นั่นหมายถึงว่า ต่างประเทศนั้น เขาไม่ได้ยัดเยียดให้ประชาชนได้ติดตามข่าวการเมืองแบบเป็นบ้าเป็นหลัง เหมือนประเทศไทยนี้
คนอาจจะบอกว่า ให้สนใจการเมืองหน่อยสิ ...นายกฯ อุตส่าห์มาพูดให้ฟัง
คนก็ตอบว่า อ้าว ..ก็มีช่อง 11 อยู่แล้วไง ทำไมไม่ไปพูดที่นั่น คนสนใจการเมืองก็จะได้ติดตามดูเอง
ผมจำได้ว่า ตอนที่ทักษิณพูดในวิทยุสมัยก่อนนั้น ..มีคน (เหลือง) ในราชดำเนินบอกว่า ยัดเยียดทำไม ..อยากฟังเพลง.. ก็มีคนตอบไปว่า คุณไม่อยากฟังคลื่นนี้ ก็ไปหาคลื่นใหม่สิ วิธีแก้ปัญหาง่ายนิดเดียว
แต่สำหรับอภิสิทธิ์ ..อันนี้ หมุนไปช่องไหนก็เจอ ยิ่งเป็นช่อง 3 ด้วยแล้ว บันเทิงล้วนๆ เลย
ทั้งปวงนี้ ...เป็นเพราะประชาชนไม่รู้ว่า อภิสิทธิ์ กำลัง "พล่าม" อะไรให้เขาฟัง ประเภทมีแต่คำพูด ความจริง มันน่าจะหมดไปจากเมืองไทยได้ตั้งนานแล้ว พวกนักการเมืองดีแต่ปากประเภทนี้ ก็ไม่นึกเช่นกันว่า ยังมีการเผยแพร่พันธุ์ผ่านทางสื่อได้ด้วย
สมัยก่อน ประชาธิปัตย์เขาโจมตีรัฐบาลทักษิณว่า แทรกแซงสื่อ ...ที่ไหนได้ สื่อมันแทรกแซงประชาชนต่างหาก
เห็นวันก่อน ใครก็ไม่ทราบในประชาธิปัตย์ ออกมาบอกว่า สมัยทักษิณแทรกแซงโดยการไม่ซื้อโฆษณาสื่อที่ไม่เชียร์รัฐบาล
ผมก็ว่า มันเป็นสิทธิ์ของใครก็ตาม ที่จะไม่ลงโฆษณา ...ซึ่งจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่
แต่ในยุคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลนี่ ...เอาทุกอย่าง ใครไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล จะต้องมีอันเป็นไปแทบทุกราย
เริ่มต้นมาก็ ..รายการความจริงวันนี้ของสามเกลอ ..เมื่อก่อนอยู่ช่อง NBT แต่ก็ไปถอนของเขาออก แล้วบอกว่า ผมไม่ได้แทรกแซงนะ
แล้วก็เปลี่ยนโลโก้ช่อง NBT เสียสตังค์ไปเปล่าๆ ปลี้ๆ โดยไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แถมยังทำให้ช่องที่เขาทำข่าวดีๆ กลายเป็นช่องเชลียร์รัฐบาลไปเสียนี่
แล้วก็มาฮึ่มๆ ทั้งช่อง ThaiTPBS กรณีไปเจาะข่าวเหมืองเพชรทักษิณ จนเทพชัยหย่อง ต้องออกมาปะหลก ๆ แล้วก็ปลด ผอ.ช่อง NBT ออก
แค่นั้นยังไม่พอ ...เอาขึ้นปกนิตยสารอะไรก็จำไม่ได้ ...เพราะไม่เคยอ่าน
คือ กะจะให้คนไทยจำหน้าอภิสิทธิ์ให้ได้ว่า ...หน้าตา ..ปากนิด ..จมูกหน่อยยังงี้นะ ..คนจะได้ไม่ทักผิด คิดว่า ทักษิณยังเป็นนายกอยู่
ใช่มั้ย สาทิตย์?
วอร์รูํมของประชาธิปัตย์นี่ทำงานไม่เข้าท่า ..หาเรื่องให้อภิสิทธิ์โดนชาวบ้านด่าได้ประจำ!
พธม.ภูเก็ตพร้อมร่วมประชุมใหญ่ “ก.ม.ม.-7 ตุลารำลึก”
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ ภูเก็ต พร้อมเดินทางเข้าร่วมประชุมใหญ่พรรคที่เมืองทองธานี 6 ตุลาคมนี้ พร้อมร่วมงาน “7 ตุลารำลึก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อร่วมไว้อาลัย และรำลึกถึงวีรชนผู้กล้า กำหนดเคลื่อนขบวนออกจากภูเก็ตเช้าวันที่ 5 ตุลาคม
นายอรรคพล นนทรีย์ ประธานสาขาพรรคการเมืองใหม่ จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการเดินทางไปร่วมประชุมสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ครั้งแรก ว่า ตามที่ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ได้ทำหนังสือเรียกประชุมใหญ่สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ครั้งแรก ตามมาตรา 27 พ.ร.บ.พรรคการเมือง ในวันที่ 6 ตุลาคม 2552 ณ อาคารกีฬายกน้ำหนัก (ธันเดอร์โดม) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ถ.แจ้งวัฒนะ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไปนั้น
ในส่วนของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ได้มีการหารือร่วมกันบางส่วนแล้ว เพื่อเดินทางขึ้นไปร่วมประชุมครั้งนี้ โดยคณะของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ และแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ต ที่จะเดินทางขึ้นไปร่วมงาน “7 ตุลารำลึก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 5 ตุลาคม 2552 เวลาประมาณ 08.00 น.บริเวณด้านหน้าที่ทำการพรรคการเมืองใหม่สาขาจังหวัดภูเก็ต เลขที่ 77/24 ถ.พัฒนาท้องถิ่น (ทางเข้าสถานีอนามัยบ้านแหลมชั่น) ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ด้วยรถทัวร์โดยสาร 1 คัน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,700 บาท เป็นค่ารถไป-กลับ ค่าที่พัก 2 คืน
ผู้ที่สนใจจะร่วมเดินทางไปในวันดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองที่นั่งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-787-7507 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนกำหนดการเดินทางกลับนั้น จะออกจากกรุงเทพมหานครคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2552 เวลาประมาณ 21.00 น.หลังจากเสร็จสิ้นการร่วมกิจกรรม “7 ตุลารำลึก” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ ภูเก็ต พร้อมเดินทางเข้าร่วมประชุมใหญ่พรรคที่เมืองทองธานี 6 ตุลาคมนี้ พร้อมร่วมงาน “7 ตุลารำลึก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อร่วมไว้อาลัย และรำลึกถึงวีรชนผู้กล้า กำหนดเคลื่อนขบวนออกจากภูเก็ตเช้าวันที่ 5 ตุลาคม
นายอรรคพล นนทรีย์ ประธานสาขาพรรคการเมืองใหม่ จังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงการเดินทางไปร่วมประชุมสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ครั้งแรก ว่า ตามที่ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ได้ทำหนังสือเรียกประชุมใหญ่สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ครั้งแรก ตามมาตรา 27 พ.ร.บ.พรรคการเมือง ในวันที่ 6 ตุลาคม 2552 ณ อาคารกีฬายกน้ำหนัก (ธันเดอร์โดม) อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี ถ.แจ้งวัฒนะ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไปนั้น
ในส่วนของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ที่จังหวัดภูเก็ต ได้มีการหารือร่วมกันบางส่วนแล้ว เพื่อเดินทางขึ้นไปร่วมประชุมครั้งนี้ โดยคณะของสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ และแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดภูเก็ต ที่จะเดินทางขึ้นไปร่วมงาน “7 ตุลารำลึก” ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ จะเดินทางออกจากจังหวัดภูเก็ต ในวันที่ 5 ตุลาคม 2552 เวลาประมาณ 08.00 น.บริเวณด้านหน้าที่ทำการพรรคการเมืองใหม่สาขาจังหวัดภูเก็ต เลขที่ 77/24 ถ.พัฒนาท้องถิ่น (ทางเข้าสถานีอนามัยบ้านแหลมชั่น) ต.วิชิต อ.เมืองภูเก็ต ด้วยรถทัวร์โดยสาร 1 คัน ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ มีค่าใช้จ่ายคนละ 1,700 บาท เป็นค่ารถไป-กลับ ค่าที่พัก 2 คืน
ผู้ที่สนใจจะร่วมเดินทางไปในวันดังกล่าวสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือจองที่นั่งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081-787-7507 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนกำหนดการเดินทางกลับนั้น จะออกจากกรุงเทพมหานครคืนวันที่ 7 ตุลาคม 2552 เวลาประมาณ 21.00 น.หลังจากเสร็จสิ้นการร่วมกิจกรรม “7 ตุลารำลึก” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปิดถนนเทพกระษัตรีย์ 1 ชม.ประท้วงจับจนท.ป่าไม้ "อิหม่าม"
ที่มา เสียงใต้รายวัน
มุสลิมในตำบลเทพกระษัตรีกว่า 500 คน ชุมนุมปิดถนนเทพกระษัตรีเส้นทางสายหลักเข้าเมืองภูเก็ต ประท้วงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กรณี จับกุมโต๊ะอิหม่ามที่เข้าไปสร้างกุโบร์ในพื้นที่สวนป่าบางขนุน
เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันที่ 4 ต.ค. ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ในตำบลเทพ กระษัตรี อำเภอถลาง ประมาณ 500 คน ได้รวมตัวชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากไม่พอใจ กรณีเจ้าหน้าที่ป่าไม้สวนป่าบางขนุน และชุด อ.ส.อำเภอถลาง ที่จับกุมนายสุขุม วารี โต๊ะอิหม่ามและชาวบ้านมุสลิม หมู่ 8 บ้านพรุสมภาร ขณะที่ได้เข้าไปปรับพื้นที่ภายในสวนป่าบางขนุนเพื่อจะสร้างศาลาและปรับปรุงทำเป็นกุโบร์ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมระบุว่าไม่พอใจเจ้าหน้าที่ เนื่องจากขณะจับกุมได้นำอาวุธปืนไปด้วย ซึ่งเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำรถยนต์ รถจักรยานยนต์จอดขวางถนนเทพกระษัตรี ทั้ง 2 ฝั่งขาเข้าและขาออก ทำให้รถยนต์ไม่สามารถผ่านไปมาได้ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน นอกจากนี้ในช่วงแรกของการชุมนุม ได้ มีเหตุชุลมุนมีกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 10 คน ทำร้ายร่างกายนายสามารถ สินทบ ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวสวนป่าบางขนุนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้าและร่างกาย โดยตำรวจได้นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ตรวจเช็คร่างกายว่าอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ทั้งนี้นายไชยวัฒน์ เทพี นายอำเภอถลาง ได้หารือร่วมกับนายบำรุง สำเภารัตน์ ประธานกรรมการกลางอิสลามจังหวัดภูเก็ต โต๊ะอิหม่ามและผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม ว่าพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการขอกันไว้สำหรับสร้างเป็นกุโบร์มีเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ เบื้องต้นอบต.เทพกระษัตรีได้ทำเรื่องขออนุญาตใช้พื้นที่ไปยังจังหวัดภูเก็ตและกรมป่าไม้แล้ว แต่เรื่องยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
ขณะที่โต๊ะอิหม่ามกล่าวว่า ในระหว่างที่รอการพิจารณาชาวบ้านจะขอเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวในทุกวันอาทิตย์ แต่ถ้า กรมป่าไม้ ไม่อนุญาตก็ยินดีจะถอนการขอใช้พื้นที่
จากนั้นจึงได้ร่วมกันชี้แจงทำความเข้าใจข้อตกลงดังกล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งระหว่างการชี้แจงมีผู้ชุมนุมบางคนที่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ ได้ขว้างปาขวดน้ำใส่ พร้อมกับเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ออกมาขอโทษ อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมพอใจในข้อตกลงพร้อมกับเดินทางไปดูพื้นที่สร้างกุโบร์ในส่วนป่าบางขนุน และได้สลายตัวการชุมนุมไปในที่สุดในเวลาประมาณ 14 นาฬิกา โดยใช้เวลาในการปิดถนนประมาณ 1 ชั่วโมง
ด้านนายชาติสมปอง รังสิมันตุชาติ หัวหน้าสวนป่าบางขนุน กล่าวว่าการขอใช้พื้นที่ดังกล่าวมีการหารือในช่วงหัวหน้าสวนป่าบางขนุนคนก่อน ส่วนตนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติจึงต้องให้มีการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ก่อน ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือชาวบ้านไปแล้วว่า ในระหว่างที่รอการพิจารณาขอให้หยุดการปรับปรุงพื้นที่ก่อน อย่างไรก็ตามได้มีการทำบันทึกข้อตกลงว่า หน่วยงานได้รับทราบว่าจะมีการขอใช้พื้นที่ทำกุโบร์ และจะร่วมกับชาวบ้านแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป
มุสลิมในตำบลเทพกระษัตรีกว่า 500 คน ชุมนุมปิดถนนเทพกระษัตรีเส้นทางสายหลักเข้าเมืองภูเก็ต ประท้วงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ กรณี จับกุมโต๊ะอิหม่ามที่เข้าไปสร้างกุโบร์ในพื้นที่สวนป่าบางขนุน
เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น.วันที่ 4 ต.ค. ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ในตำบลเทพ กระษัตรี อำเภอถลาง ประมาณ 500 คน ได้รวมตัวชุมนุมประท้วงที่บริเวณหน้าสถานีตำรวจภูธรถลาง จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากไม่พอใจ กรณีเจ้าหน้าที่ป่าไม้สวนป่าบางขนุน และชุด อ.ส.อำเภอถลาง ที่จับกุมนายสุขุม วารี โต๊ะอิหม่ามและชาวบ้านมุสลิม หมู่ 8 บ้านพรุสมภาร ขณะที่ได้เข้าไปปรับพื้นที่ภายในสวนป่าบางขนุนเพื่อจะสร้างศาลาและปรับปรุงทำเป็นกุโบร์ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมระบุว่าไม่พอใจเจ้าหน้าที่ เนื่องจากขณะจับกุมได้นำอาวุธปืนไปด้วย ซึ่งเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำรถยนต์ รถจักรยานยนต์จอดขวางถนนเทพกระษัตรี ทั้ง 2 ฝั่งขาเข้าและขาออก ทำให้รถยนต์ไม่สามารถผ่านไปมาได้ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน นอกจากนี้ในช่วงแรกของการชุมนุม ได้ มีเหตุชุลมุนมีกลุ่มวัยรุ่นประมาณ 10 คน ทำร้ายร่างกายนายสามารถ สินทบ ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวสวนป่าบางขนุนได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้าและร่างกาย โดยตำรวจได้นำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ตรวจเช็คร่างกายว่าอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บหรือไม่
ทั้งนี้นายไชยวัฒน์ เทพี นายอำเภอถลาง ได้หารือร่วมกับนายบำรุง สำเภารัตน์ ประธานกรรมการกลางอิสลามจังหวัดภูเก็ต โต๊ะอิหม่ามและผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 เพื่อทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม ว่าพื้นที่ดังกล่าว ได้มีการขอกันไว้สำหรับสร้างเป็นกุโบร์มีเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ เบื้องต้นอบต.เทพกระษัตรีได้ทำเรื่องขออนุญาตใช้พื้นที่ไปยังจังหวัดภูเก็ตและกรมป่าไม้แล้ว แต่เรื่องยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
ขณะที่โต๊ะอิหม่ามกล่าวว่า ในระหว่างที่รอการพิจารณาชาวบ้านจะขอเข้าไปปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวในทุกวันอาทิตย์ แต่ถ้า กรมป่าไม้ ไม่อนุญาตก็ยินดีจะถอนการขอใช้พื้นที่
จากนั้นจึงได้ร่วมกันชี้แจงทำความเข้าใจข้อตกลงดังกล่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งระหว่างการชี้แจงมีผู้ชุมนุมบางคนที่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่ ได้ขว้างปาขวดน้ำใส่ พร้อมกับเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ออกมาขอโทษ อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ชุมนุมพอใจในข้อตกลงพร้อมกับเดินทางไปดูพื้นที่สร้างกุโบร์ในส่วนป่าบางขนุน และได้สลายตัวการชุมนุมไปในที่สุดในเวลาประมาณ 14 นาฬิกา โดยใช้เวลาในการปิดถนนประมาณ 1 ชั่วโมง
ด้านนายชาติสมปอง รังสิมันตุชาติ หัวหน้าสวนป่าบางขนุน กล่าวว่าการขอใช้พื้นที่ดังกล่าวมีการหารือในช่วงหัวหน้าสวนป่าบางขนุนคนก่อน ส่วนตนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติจึงต้องให้มีการอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ก่อน ที่ผ่านมาได้ขอความร่วมมือชาวบ้านไปแล้วว่า ในระหว่างที่รอการพิจารณาขอให้หยุดการปรับปรุงพื้นที่ก่อน อย่างไรก็ตามได้มีการทำบันทึกข้อตกลงว่า หน่วยงานได้รับทราบว่าจะมีการขอใช้พื้นที่ทำกุโบร์ และจะร่วมกับชาวบ้านแก้ไขปัญหาในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป
ถ้าชาติไทย “ล่มจม” ... ‘อภิแสบ ภักดีโพเดียม’ จงฟัง!!!
โดย คุณวาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ที่มา เวบไซต์ vattavan
4 ตุลาคม 2552
....ผมมีเรื่องเศรษฐกิจ มาปรับทุกข์กับท่านผู้อ่าน เพราะอึดอัดใจกับการดำเนินงานของรัฐบาล ที่มีนายมาร์ค มุกควาย เป็นผู้นำ ซึ่งได้ก่อร่างสร้างหนี้จำนวนมหาศาล ให้กับประเทศเรา โดยอ้างว่า
จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับนำมาถลุง ด้วยการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้จากโครงการต่างๆ ดังที่ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว แต่หนทางชำระหนี้นั้น ดูช่างมืดมนอนธการจริงๆ
ทำไมผมจึงว่าอย่างนั้น? ...ตอบได้ว่า
รัฐบาลโลซกคณะนี้ ได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า เศรษฐกิจไทยที่ทรุดตัวตามเศรษฐกิจโลกนั้น อาจพลิกฟื้นคืนขึ้นมาได้ หากเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นดีขึ้น
เอาเศรษฐกิจบ้านเรา ไปผูกติดกับอเมริกันเต็มที่!
เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า สหรัฐเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของของเรา อีกทั้งรายได้หลักของไทย ส่วนใหญ่มาจากการ “ส่งออก” เป็นหลัก แต่เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐประสพปัญหา กำลังซื้อของประเทศยักษ์ใหญ่ก็ถดถอยลง อเมริกันชนตกงานเป็นจำนวนมาก และถึงแม้ไม่ตกงาน แต่รายได้ก็ลดลง คนอเมริกันจึง “ประหยัด” มากขึ้น ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังว่า ยอดขายของสตาร์บัคส์ ร้านกาแฟราคาแพงลดลงอย่างมาก แต่ฟาสต์ฟูดส์อย่างพวกแฮมเบอร์เกอร์ กลับขายดีมากขึ้น
นั่นแสดงว่าคนอเมริกันงดบริโภคของแพง ของฟุ่มเฟือยต่างๆ และเลือกการกินฟาสต์ฟู้ดส์ ซึ่งราคาถูกแต่กินอิ่ม ทดแทนการออกไปหารับประทานตามภัตตาคารนอกบ้าน หรือไปนั่งทอดหุ่ย จิบกาแฟราคาแพงอย่างสตาร์บั๊คส์
ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อของ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์สองคน ซึ่งนักการเงินการธนาคาร รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ไทยต่างเป็นปลื้มมาก คือ
พอล ครุกแมน (Paul Crugman) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Princeton แต่กลับเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในฐานะคอลัมนิสต์ปากกล้า ในบทความกึ่งวิชาการให้กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์
ส่วนอีกคนหนึ่ง คือ โจเซฟ สติ๊กลิสต์ (Joseph Stiglitz) ซึ่งขณะนี้สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก (ที่ล็อบบี้ยิสต์กระทรวงการต่างประเทศ เดินแต้มให้นายอภิแสบ ไปยืนเกาะโพเดียมพูด คราไปเยือนสหรัฐไม่กี่วันมานี้)
ทั้งสองคนเคยมาปาฐกถาเมืองไทย แต่ทั้งคู่ก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ
ประเทศผู้ส่งออกจะมีปัญหา เพราะผลิตสินค้าได้ แต่ไม่รู้จะไปขายใคร เพราะชาติที่เคยเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ ต่างต้องประสพภาวะ “ยากจน” กันถ้วนทั่ว
พอล ครุกแมน ถึงกับพูดว่า สินค้าที่ชาติผู้ผลติจะขายได้อย่างเคย ต้องมี “คนจาก ‘ดาวอังคาร’ มาซื้อ!”
ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสอง ได้รับการยืนยันโดย ทิมโมธี ไกธ์เนอร์ (Timothy Geithner) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ซึ่งเคยศึกษาในประเทศไทย พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ได้ออกมาตอกย้ำชัดเจนในที่ประชุม จี 20 โดยเขาได้กล่าวว่า
การเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จะอาศัยการ “ส่งออก” เป็นหลักต่อไปไม่ได้ โดยแต่ละประเทศจะต้องเน้นเรื่องการออมแทนการใช้จ่าย เป้าหมายการออมมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ของรายได้
แผนการเงินของโลก จะต้องมีการปฏิรูปกันใหม่หมด!
ดังนั้น ฝันของนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม ที่จะหวังให้คนอเมริกันจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น สินค้าไทยจะได้ขายดีในสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องที่คาดหวังกันไม่ได้อีกต่อไป เพราะอเมริกันชนต้อง “ประหยัด” กันแน่
รัฐบาลไทยจึงไม่ควรยุยง ส่งเสริมให้ผู้คนออกมาใช้จ่าย แต่พึงแนะนำประชาชน “เก็บออม” กันให้มากขึ้น เพราะอนาคตข้างหน้า โลกอาจต้องยากจนลง และไทยเราก็ต้องประสพชะตาเดียวกันกับชาติอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ถ้าท่านผู้อ่านจำได้ ผมเคยเล่าให้ฟังว่า นักการคลังของญี่ปุ่น ได้ออกมาเตือนว่า แม้เศรษฐกิจจะฟื้นกลับขึ้นมา แต่อย่างหวังว่าจะดีเป็นปกติเหมือนเดิม จึงขอเตือนรัฐบาลโลซก ให้รับรู้ว่า
อย่าคิดว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของตัว จะสัมฤทธิ์ผล เพราะเศรษฐกิจยากที่จะคืนดี และก้าวหน้าเหมือนเมื่อครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เศรษฐกิจของชาติเรารุ่งเรืองสุดขีด หนี้สินของชาติได้รับการชำระล้าง เครดิตของประเทศ กลับมาเป็นที่น่าเชื่อถือในสังคมโลก!
แม้รัฐบาลโลซกของมิสเตอร์มุกควาย จะผลาญงบประมาณของชาติ ด้วยการโฆษณาผลงานเก๊ๆ ของตัวมากมาย เพื่อให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่า พวกตัวมีฝีมือ ทำให้บ้านเมืองได้อยู่ดีกินดี แต่แทบจะไม่มีใครในบ้านนี้เมืองนี้ หลงเชื่อถือถ้อยคำของเขา ต่างพากันส่ายหัวไม่ยอมรับ ว่า “จริง” ตามที่โฆษณาหรือกล่าวอ้าง
มิหนำซ้ำ สวนดุสิตโพลวิทยาลัยของรัฐแท้ๆ ยังดันทะลึ่งไม่ไว้หน้ารัฐบาล ด้วยการวิจารณ์แบบขว้าง “ก้อนอิฐ” ใส่หัวกบาล ในวันที่หัวหน้ารัฐบาลโลซก เดินทางกลับจากการประชุมที่สหรัฐ ด้วยการให้นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม “สอบตก” ในการบริหารประเทศเข้าไปอีก ...มันน่าหัวร่อจริงๆ!
ดังนั้น ความเชื่อถือในตัวหน้าหน้าแก๊งรัฐบาลโลซก ก็ตกต่ำหนักข้อเข้าไปอีก หาผู้คนยอมรับฝีมือในการบริหารประเทศของเขา แทบจะไม่ได้ นอกจากพวกไอ้ห้อยไอ้โหนที่มีผลประโยชน์ เช่น สื่อสารมวลชนบางส่วน ที่ได้รับอานิสงส์จากรัฐบาลโดยตรง เลยจำใจต้องเชียร์กัน แบบสุดลิ่มทิ่มประตู... จนน่าคลื่นไส้!
เมื่อนายกเขายายเที่ยง เข้ามาบริหารประเทศ ก็ทำได้แค่ประคองสถานการณ์ไม่ให้ทรุดหนักลงไปเท่านั้น จนกระทั่งพรรคดักดานอย่างประชาธิปัตย์ ที่ประกอบคุรุกรรมร่วมกับพันธมาร ในการชุมนุมป่วนชาติบ้านเมือง ด้วยการยึดสนามบินภาคใต้ เรื่อยมาจนถึงยึดถนน ยึดทำเนียบ และยึดสนามบินหลักของชาติ “สุวรรณภูมิ” และ “ดอนเมือง”
จนได้เข้าเถลิงอำนาจ ...เป็นรัฐบาลในที่สุด!
พฤติกรรมเหล่านี้ ต่างชาติเขารู้กันหมด ด้วยการเผยแพร่ข่าวสารของนักข่าวบ้านเขา ที่มาประจำในประเทศไทย ลองเข้าไปอ่านบทความของผู้สื่อข่าว BBC อย่าง โจนาธาน เฮด (Jonathan Head) ก็จะทราบถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพรรคดักดานกับฝ่ายพันธมาร ขนาดขาใหญ่ของฝ่ายหลัง ถึงกับออกมาพูดอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า
“ประชาธิปัตย์กับพันธมาร...เหมือนผัวเมียกัน!!!”
นอกจากคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล แค่ไปยืนเกาะโพเดียมพูดจาในสหรัฐ ก็ไม่สามารถสร้างความประทับใจ ให้กับอเมริกันชนได้ แต่ที่แย่สุดๆคือ
การ “คีบ” เอาหัวโจกพันธมารไปสหรัฐด้วย จะเป็นการไปเป็นผู้กำกับบท ให้คนเป็นหัวหน้ารัฐบาลในต่างแดน ตามที่เขาตั้งข้อกังขากัน ใช่หรือไม่นั้น? ตรงนี้ผมไม่ทราบ
แต่ถ้าไม่ใช่แล้ว... หนีบเอาไปด้วย...ทำไม!?
การเดินแต้มทางการเมืองอย่างนี้ เป็นความโง่อย่างสุดๆ เพราะเป็นการ “เปิดตัว” ให้ต่างชาติเขาเห็นกันถ้วนทั่วว่า แท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ ที่เป็นคนจูงพรรคดักดานขึ้นมาเป็นรัฐบาล
“พันธมารใช่ไหม!?”
อยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า ทุกวันนี้คนเยอรมันปัจจุบัน ยังไม่เข้าใจว่า คนรุ่นพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ไปหลงเชื่อแค่คำพูดของ “ฮิตเลอร์” จนประเทศต้องเข้าสู่สงคราม และความพินาศฉิบหายป่นปี้ขนาดนั้น ได้อย่างไรกัน?
ย้อนมาดูเมืองไทยของเรา คนไทยบางส่วน ไปหลงเชื่อคำพูดของแกนนำพันธมาร หลงใหลได้ปลื้ม จนร่วมก่อกรรมทำเข็ญให้ชาติบ้านเมือง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจ สังคม การเมืองและศักดิ์ศรีของชาติเรา ...เสียหายหนักอย่างนี้ ได้อย่างไรกัน? น่าคิดนะ!
การที่เยอรมัน “ล่มจม” เพราะพิษสงคราม แล้วกลับขึ้นมายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งนั้น อยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า เพราะเขานั้นเป็นชาติที่มีความรู้ ความอดทน และมีวัฒนธรรมแข็ง ญี่ปุ่นก็เช่นกัน!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ ถ้าชาติไทยของเรา มีเหตุจากการแบ่งสีแบ่งฝ่าย ทำให้ประชาชนต้องลุกขึ้นมา”ฆ่ากัน” ทำให้ประเทศที่เคยสุขสงบ ต้องพินาศฉิบหาย ย่อยยับ จนถึง “ล่มจม” เพราะ...สงครามกลางเมือง!
สถานการณ์อย่างที่ว่า ได้ปรากฏให้เห็นลางๆ แล้ว เพราะทุกวันนี้ ความเกลียดชังระหว่างหมู่ชนในชาติ กำลังเพิ่มองศาแห่งความร้อนแรงขึ้นทุกวัน หากเกิดเหตุฆ่ากันจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ก็ยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ ให้ฟื้นคืนกลับได้
ที่น่าห่วงมากก็เพราะ คนในบ้านเรานั้น เรื่อง “ความรู้” ก็ยังบกพร่องอยู่ อีกทั้ง “ความอดทน” ของชนในชาติ ก็ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรง ไม่เหมือนประเทศเยอรมันและญี่ปุ่น ดังที่ผมยกตัวอย่างมา
แถมวัฒนธรรมของเราหรือ ก็ยังอ่อนแอ ถึงขั้นปวกเปียกเลยทีเดียว
ดังนั้น ถ้าชาติไทยต้อง “ล่มจม” กันแล้ว ยากที่จะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้อีก...
ฟื้นยากจริงๆ...ลองนำไปคิดกันดู เถอะครับ!!
ที่มา เวบไซต์ vattavan
4 ตุลาคม 2552
....ผมมีเรื่องเศรษฐกิจ มาปรับทุกข์กับท่านผู้อ่าน เพราะอึดอัดใจกับการดำเนินงานของรัฐบาล ที่มีนายมาร์ค มุกควาย เป็นผู้นำ ซึ่งได้ก่อร่างสร้างหนี้จำนวนมหาศาล ให้กับประเทศเรา โดยอ้างว่า
จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่กลับนำมาถลุง ด้วยการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้จากโครงการต่างๆ ดังที่ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว แต่หนทางชำระหนี้นั้น ดูช่างมืดมนอนธการจริงๆ
ทำไมผมจึงว่าอย่างนั้น? ...ตอบได้ว่า
รัฐบาลโลซกคณะนี้ ได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า เศรษฐกิจไทยที่ทรุดตัวตามเศรษฐกิจโลกนั้น อาจพลิกฟื้นคืนขึ้นมาได้ หากเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นดีขึ้น
เอาเศรษฐกิจบ้านเรา ไปผูกติดกับอเมริกันเต็มที่!
เหตุที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า สหรัฐเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของของเรา อีกทั้งรายได้หลักของไทย ส่วนใหญ่มาจากการ “ส่งออก” เป็นหลัก แต่เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐประสพปัญหา กำลังซื้อของประเทศยักษ์ใหญ่ก็ถดถอยลง อเมริกันชนตกงานเป็นจำนวนมาก และถึงแม้ไม่ตกงาน แต่รายได้ก็ลดลง คนอเมริกันจึง “ประหยัด” มากขึ้น ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังว่า ยอดขายของสตาร์บัคส์ ร้านกาแฟราคาแพงลดลงอย่างมาก แต่ฟาสต์ฟูดส์อย่างพวกแฮมเบอร์เกอร์ กลับขายดีมากขึ้น
นั่นแสดงว่าคนอเมริกันงดบริโภคของแพง ของฟุ่มเฟือยต่างๆ และเลือกการกินฟาสต์ฟู้ดส์ ซึ่งราคาถูกแต่กินอิ่ม ทดแทนการออกไปหารับประทานตามภัตตาคารนอกบ้าน หรือไปนั่งทอดหุ่ย จิบกาแฟราคาแพงอย่างสตาร์บั๊คส์
ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินชื่อของ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์สองคน ซึ่งนักการเงินการธนาคาร รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ไทยต่างเป็นปลื้มมาก คือ
พอล ครุกแมน (Paul Crugman) ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Princeton แต่กลับเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในฐานะคอลัมนิสต์ปากกล้า ในบทความกึ่งวิชาการให้กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์
ส่วนอีกคนหนึ่ง คือ โจเซฟ สติ๊กลิสต์ (Joseph Stiglitz) ซึ่งขณะนี้สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก (ที่ล็อบบี้ยิสต์กระทรวงการต่างประเทศ เดินแต้มให้นายอภิแสบ ไปยืนเกาะโพเดียมพูด คราไปเยือนสหรัฐไม่กี่วันมานี้)
ทั้งสองคนเคยมาปาฐกถาเมืองไทย แต่ทั้งคู่ก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ
ประเทศผู้ส่งออกจะมีปัญหา เพราะผลิตสินค้าได้ แต่ไม่รู้จะไปขายใคร เพราะชาติที่เคยเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ ต่างต้องประสพภาวะ “ยากจน” กันถ้วนทั่ว
พอล ครุกแมน ถึงกับพูดว่า สินค้าที่ชาติผู้ผลติจะขายได้อย่างเคย ต้องมี “คนจาก ‘ดาวอังคาร’ มาซื้อ!”
ความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสอง ได้รับการยืนยันโดย ทิมโมธี ไกธ์เนอร์ (Timothy Geithner) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐ ซึ่งเคยศึกษาในประเทศไทย พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ได้ออกมาตอกย้ำชัดเจนในที่ประชุม จี 20 โดยเขาได้กล่าวว่า
การเติบโตทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ จะอาศัยการ “ส่งออก” เป็นหลักต่อไปไม่ได้ โดยแต่ละประเทศจะต้องเน้นเรื่องการออมแทนการใช้จ่าย เป้าหมายการออมมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 40 ของรายได้
แผนการเงินของโลก จะต้องมีการปฏิรูปกันใหม่หมด!
ดังนั้น ฝันของนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม ที่จะหวังให้คนอเมริกันจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น สินค้าไทยจะได้ขายดีในสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องที่คาดหวังกันไม่ได้อีกต่อไป เพราะอเมริกันชนต้อง “ประหยัด” กันแน่
รัฐบาลไทยจึงไม่ควรยุยง ส่งเสริมให้ผู้คนออกมาใช้จ่าย แต่พึงแนะนำประชาชน “เก็บออม” กันให้มากขึ้น เพราะอนาคตข้างหน้า โลกอาจต้องยากจนลง และไทยเราก็ต้องประสพชะตาเดียวกันกับชาติอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ถ้าท่านผู้อ่านจำได้ ผมเคยเล่าให้ฟังว่า นักการคลังของญี่ปุ่น ได้ออกมาเตือนว่า แม้เศรษฐกิจจะฟื้นกลับขึ้นมา แต่อย่างหวังว่าจะดีเป็นปกติเหมือนเดิม จึงขอเตือนรัฐบาลโลซก ให้รับรู้ว่า
อย่าคิดว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของตัว จะสัมฤทธิ์ผล เพราะเศรษฐกิจยากที่จะคืนดี และก้าวหน้าเหมือนเมื่อครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ที่เศรษฐกิจของชาติเรารุ่งเรืองสุดขีด หนี้สินของชาติได้รับการชำระล้าง เครดิตของประเทศ กลับมาเป็นที่น่าเชื่อถือในสังคมโลก!
แม้รัฐบาลโลซกของมิสเตอร์มุกควาย จะผลาญงบประมาณของชาติ ด้วยการโฆษณาผลงานเก๊ๆ ของตัวมากมาย เพื่อให้ชาวบ้านหลงเชื่อว่า พวกตัวมีฝีมือ ทำให้บ้านเมืองได้อยู่ดีกินดี แต่แทบจะไม่มีใครในบ้านนี้เมืองนี้ หลงเชื่อถือถ้อยคำของเขา ต่างพากันส่ายหัวไม่ยอมรับ ว่า “จริง” ตามที่โฆษณาหรือกล่าวอ้าง
มิหนำซ้ำ สวนดุสิตโพลวิทยาลัยของรัฐแท้ๆ ยังดันทะลึ่งไม่ไว้หน้ารัฐบาล ด้วยการวิจารณ์แบบขว้าง “ก้อนอิฐ” ใส่หัวกบาล ในวันที่หัวหน้ารัฐบาลโลซก เดินทางกลับจากการประชุมที่สหรัฐ ด้วยการให้นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม “สอบตก” ในการบริหารประเทศเข้าไปอีก ...มันน่าหัวร่อจริงๆ!
ดังนั้น ความเชื่อถือในตัวหน้าหน้าแก๊งรัฐบาลโลซก ก็ตกต่ำหนักข้อเข้าไปอีก หาผู้คนยอมรับฝีมือในการบริหารประเทศของเขา แทบจะไม่ได้ นอกจากพวกไอ้ห้อยไอ้โหนที่มีผลประโยชน์ เช่น สื่อสารมวลชนบางส่วน ที่ได้รับอานิสงส์จากรัฐบาลโดยตรง เลยจำใจต้องเชียร์กัน แบบสุดลิ่มทิ่มประตู... จนน่าคลื่นไส้!
เมื่อนายกเขายายเที่ยง เข้ามาบริหารประเทศ ก็ทำได้แค่ประคองสถานการณ์ไม่ให้ทรุดหนักลงไปเท่านั้น จนกระทั่งพรรคดักดานอย่างประชาธิปัตย์ ที่ประกอบคุรุกรรมร่วมกับพันธมาร ในการชุมนุมป่วนชาติบ้านเมือง ด้วยการยึดสนามบินภาคใต้ เรื่อยมาจนถึงยึดถนน ยึดทำเนียบ และยึดสนามบินหลักของชาติ “สุวรรณภูมิ” และ “ดอนเมือง”
จนได้เข้าเถลิงอำนาจ ...เป็นรัฐบาลในที่สุด!
พฤติกรรมเหล่านี้ ต่างชาติเขารู้กันหมด ด้วยการเผยแพร่ข่าวสารของนักข่าวบ้านเขา ที่มาประจำในประเทศไทย ลองเข้าไปอ่านบทความของผู้สื่อข่าว BBC อย่าง โจนาธาน เฮด (Jonathan Head) ก็จะทราบถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพรรคดักดานกับฝ่ายพันธมาร ขนาดขาใหญ่ของฝ่ายหลัง ถึงกับออกมาพูดอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า
“ประชาธิปัตย์กับพันธมาร...เหมือนผัวเมียกัน!!!”
นอกจากคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล แค่ไปยืนเกาะโพเดียมพูดจาในสหรัฐ ก็ไม่สามารถสร้างความประทับใจ ให้กับอเมริกันชนได้ แต่ที่แย่สุดๆคือ
การ “คีบ” เอาหัวโจกพันธมารไปสหรัฐด้วย จะเป็นการไปเป็นผู้กำกับบท ให้คนเป็นหัวหน้ารัฐบาลในต่างแดน ตามที่เขาตั้งข้อกังขากัน ใช่หรือไม่นั้น? ตรงนี้ผมไม่ทราบ
แต่ถ้าไม่ใช่แล้ว... หนีบเอาไปด้วย...ทำไม!?
การเดินแต้มทางการเมืองอย่างนี้ เป็นความโง่อย่างสุดๆ เพราะเป็นการ “เปิดตัว” ให้ต่างชาติเขาเห็นกันถ้วนทั่วว่า แท้ที่จริงแล้ว ใครกันแน่ ที่เป็นคนจูงพรรคดักดานขึ้นมาเป็นรัฐบาล
“พันธมารใช่ไหม!?”
อยากจะเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า ทุกวันนี้คนเยอรมันปัจจุบัน ยังไม่เข้าใจว่า คนรุ่นพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ไปหลงเชื่อแค่คำพูดของ “ฮิตเลอร์” จนประเทศต้องเข้าสู่สงคราม และความพินาศฉิบหายป่นปี้ขนาดนั้น ได้อย่างไรกัน?
ย้อนมาดูเมืองไทยของเรา คนไทยบางส่วน ไปหลงเชื่อคำพูดของแกนนำพันธมาร หลงใหลได้ปลื้ม จนร่วมก่อกรรมทำเข็ญให้ชาติบ้านเมือง ซึ่งทำให้เศรษฐกิจ สังคม การเมืองและศักดิ์ศรีของชาติเรา ...เสียหายหนักอย่างนี้ ได้อย่างไรกัน? น่าคิดนะ!
การที่เยอรมัน “ล่มจม” เพราะพิษสงคราม แล้วกลับขึ้นมายืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งนั้น อยากจะบอกท่านผู้อ่านว่า เพราะเขานั้นเป็นชาติที่มีความรู้ ความอดทน และมีวัฒนธรรมแข็ง ญี่ปุ่นก็เช่นกัน!!
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักครับ ถ้าชาติไทยของเรา มีเหตุจากการแบ่งสีแบ่งฝ่าย ทำให้ประชาชนต้องลุกขึ้นมา”ฆ่ากัน” ทำให้ประเทศที่เคยสุขสงบ ต้องพินาศฉิบหาย ย่อยยับ จนถึง “ล่มจม” เพราะ...สงครามกลางเมือง!
สถานการณ์อย่างที่ว่า ได้ปรากฏให้เห็นลางๆ แล้ว เพราะทุกวันนี้ ความเกลียดชังระหว่างหมู่ชนในชาติ กำลังเพิ่มองศาแห่งความร้อนแรงขึ้นทุกวัน หากเกิดเหตุฆ่ากันจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง ก็ยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ ให้ฟื้นคืนกลับได้
ที่น่าห่วงมากก็เพราะ คนในบ้านเรานั้น เรื่อง “ความรู้” ก็ยังบกพร่องอยู่ อีกทั้ง “ความอดทน” ของชนในชาติ ก็ไม่เพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์ร้ายแรง ไม่เหมือนประเทศเยอรมันและญี่ปุ่น ดังที่ผมยกตัวอย่างมา
แถมวัฒนธรรมของเราหรือ ก็ยังอ่อนแอ ถึงขั้นปวกเปียกเลยทีเดียว
ดังนั้น ถ้าชาติไทยต้อง “ล่มจม” กันแล้ว ยากที่จะฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติได้อีก...
ฟื้นยากจริงๆ...ลองนำไปคิดกันดู เถอะครับ!!
งัดกฎหมายออกมาบีบบังคับประชาชน จนเคยตัว
Normal operating procedures
October 2, 2009
ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) ได้เคยลงบทความก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับปฎิบัติการบีบคั้นประชาชนจนเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย เป็นกระบวนการที่ไม่ลดละ และมีการโต้แย้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บางกอกโพสต์ (วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๒: “รัฐบาลบังคับใช้ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ในระหว่างการประชุมสุดยอด”) รายงานว่า
“รัฐบาลจะประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธุ์ ที่จะมีขี้นในวันที่ ๒๓ ตุลาคม – ๒๕ ตุลาคม…”
นี่กลายเป็นมาตรฐานการปฎิบัติของรัฐบาลร่วมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว
เนชั่นได้รายงานว่า “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวว่า จะงัด พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ออกมาบังคับใช้ในพื้นที่ ๙ ตำบลของ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ ๔ ตำบลของ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในระหว่างวันที่ ๑๒ ตุลาคม – ๒๗ ตุลาคม”
เขาได้กล่าวต่อว่า เชื่อว่าไม่มีปัญหาใดๆ
เป็นการปฎิบัติการที่น่าประหลาดใจ ที่สักแต่นำ พรบ.บีบบังคับออกมาประกาศใช้ ไม่น่าเชื่อว่า ไม่มีใครแย้งในเรื่องนี้
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างว่า การประกาศใช้ พรบ.นี้ เป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรม (The Rule of law)
แต่นี่เป็นการใช้ พรบ.ที่รุนแรง ที่รัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลังร่างขี้นมาเอง และนำมาประกาศใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคตัวเอง ด้วยข้ออ้างกลวงๆ ที่ว่า เพื่อประโยชน์ของทั้งสิทธิมนุษยชน และ หลักนิติธรรม ผลสะท้อนในทางลบของ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ที่มีต่อสิทธิของความเป็นมนุษย์หาอ่านได้จาก ที่นี่
สัญญาณเด่นชัดขี้นเมื่อมีการแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้ดูแลความมั่นคงและประกาศบังคับใช้ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ซึ่งรัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลังตาหูตาเหลือก ประกาศใช้ในปลายปี ๒๕๕๐ ทหารและตำรวจจะประสานงานกัน เพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัยในระหว่างการประชุมของผู้นำอาเซียน
เหลือเชื่อ – จริงๆ แล้วไม่น่าเชื่อ เพราะนี่กลายเป็นเรื่องมาตราฐานไปแล้ว – มีการรายงานว่า “พรบ.ความมั่นคงภายในฯ อาจประกาศใช้ในพื้นที่กรุงเทพ ถ้ามีการชุมนุมของผู้ประท้วงเสื้อแดงในเวลาที่มีการประชุมกัน….”
พรบ.ความมั่นคงภายในฯ กลายเป็นกฎหมายที่รัฐบาลงัดออกมาใช้ได้ตามสะดวก เพื่อนำมากดดันต่อการประท้วง และการชุมนุมทางการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ต้องการ
รัฐบาลแย้งว่า ไม่ได้ห้ามการชุมนุม แต่การประกาศ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ เพื่อใช้บีบบังคับ ข่มขู่ และควบคุม
การใช้ พรบ.แม้จะถูกกฎหมาย แต่ยังเป็นเครื่องมือปราบปรามด้วย เป็นการใช้กฎหมายตามอำเภอใจของตัวเอง ไม่ใช่ตามหลักนิติธรรม ซึ่งไม่สอดคล้องตามหลักประชาธิปไตยใดๆ
October 2, 2009
ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) ได้เคยลงบทความก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับปฎิบัติการบีบคั้นประชาชนจนเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย เป็นกระบวนการที่ไม่ลดละ และมีการโต้แย้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บางกอกโพสต์ (วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๒: “รัฐบาลบังคับใช้ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ในระหว่างการประชุมสุดยอด”) รายงานว่า
“รัฐบาลจะประกาศใช้ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียนที่เพชรบุรีและประจวบคีรีขันธุ์ ที่จะมีขี้นในวันที่ ๒๓ ตุลาคม – ๒๕ ตุลาคม…”
นี่กลายเป็นมาตรฐานการปฎิบัติของรัฐบาลร่วมที่นำโดยพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว
เนชั่นได้รายงานว่า “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กล่าวว่า จะงัด พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ออกมาบังคับใช้ในพื้นที่ ๙ ตำบลของ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ ๔ ตำบลของ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในระหว่างวันที่ ๑๒ ตุลาคม – ๒๗ ตุลาคม”
เขาได้กล่าวต่อว่า เชื่อว่าไม่มีปัญหาใดๆ
เป็นการปฎิบัติการที่น่าประหลาดใจ ที่สักแต่นำ พรบ.บีบบังคับออกมาประกาศใช้ ไม่น่าเชื่อว่า ไม่มีใครแย้งในเรื่องนี้
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อ้างว่า การประกาศใช้ พรบ.นี้ เป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรม (The Rule of law)
แต่นี่เป็นการใช้ พรบ.ที่รุนแรง ที่รัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลังร่างขี้นมาเอง และนำมาประกาศใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคตัวเอง ด้วยข้ออ้างกลวงๆ ที่ว่า เพื่อประโยชน์ของทั้งสิทธิมนุษยชน และ หลักนิติธรรม ผลสะท้อนในทางลบของ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ที่มีต่อสิทธิของความเป็นมนุษย์หาอ่านได้จาก ที่นี่
สัญญาณเด่นชัดขี้นเมื่อมีการแต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้ดูแลความมั่นคงและประกาศบังคับใช้ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ ซึ่งรัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลังตาหูตาเหลือก ประกาศใช้ในปลายปี ๒๕๕๐ ทหารและตำรวจจะประสานงานกัน เพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัยในระหว่างการประชุมของผู้นำอาเซียน
เหลือเชื่อ – จริงๆ แล้วไม่น่าเชื่อ เพราะนี่กลายเป็นเรื่องมาตราฐานไปแล้ว – มีการรายงานว่า “พรบ.ความมั่นคงภายในฯ อาจประกาศใช้ในพื้นที่กรุงเทพ ถ้ามีการชุมนุมของผู้ประท้วงเสื้อแดงในเวลาที่มีการประชุมกัน….”
พรบ.ความมั่นคงภายในฯ กลายเป็นกฎหมายที่รัฐบาลงัดออกมาใช้ได้ตามสะดวก เพื่อนำมากดดันต่อการประท้วง และการชุมนุมทางการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ต้องการ
รัฐบาลแย้งว่า ไม่ได้ห้ามการชุมนุม แต่การประกาศ พรบ.ความมั่นคงภายในฯ เพื่อใช้บีบบังคับ ข่มขู่ และควบคุม
การใช้ พรบ.แม้จะถูกกฎหมาย แต่ยังเป็นเครื่องมือปราบปรามด้วย เป็นการใช้กฎหมายตามอำเภอใจของตัวเอง ไม่ใช่ตามหลักนิติธรรม ซึ่งไม่สอดคล้องตามหลักประชาธิปไตยใดๆ
พรบ.ความมั่นคง นักสิทธิมนุษยชน/องค์กรสิทธิฯ...ว่าไง..??
โดย คุณสมสุริยะ ทองสุกใส
4 ตุลาคม 2552
ในที่สุด รัฐบาลก็เตรียมประกาศ พรบ.ความมั่นคงแห่งชาติ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 15 เขตพื้นที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม นี้
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงต้องเคารพสิทธิการชุมนุมของประชาชน อย่างสันติวิธีปราศจากอาวุธ และก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับอัปยศ 2550 ด้วย
ไฉน รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่มักอ้างว่า ประชาชน สนับสนุน มิใช่อำมาตย์ กองทัพ พวกคลั่งชาติ หนุนหลัง จึงกล้าประกาศออกกฎหมายริดรอนสิทธิเสรีภาพ สังคมประชาธิปไตย
รัฐบาลก็อ้างว่า คนเสื้อแดงจะไปทำให้การประชุมนี้ ต้องเสียบรรยากาศ กลัวคนเสื้อแดงจะล้มการประชุม กระนั้นหรือ ?
ถามว่า ประชาชนทุกกลุ่ม มิเพียงคนเสื้อแดง มีสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติวิธีหรือไม่ ?
ตอบว่า ในสังคมประชาธิปไตย รัฐบาลไม่มีสิทธิใช้อำนาจหยุดยั้งการชุมนุม มีแต่รัฐบาลอำนาจนิยมเผด็จการเท่านั้น ที่กระทำอย่างนี้ แม้ว่าปากจะบอกว่า รักประชาธิปไตยก็ตาม
นักสื่อสารมวลชน นักวิชาการ ปัญญาชนทั้งหลาย ผู้อ้างว่า รักประชาธิปไตย จะเมินเฉยให้รัฐบาลใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบธรรม กระนั้นหรือ ?
หรือพวกท่านก็รักประชาธิปไตยเพียงลมปากเท่านั้นเอง แล้วองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลายละว่าไงบ้าง ?
การริดรอนสิทธิชุมนุมของประชาชน เป็นการทำลายสิทธิพื้นฐานในสังคมประชาธิปไตย และเป็นการบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชน พวกท่านทราบกันดี ?
คุณเมธา มาสขาว ผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตนเองและองค์กรของท่าน (มีคุณสมชาย หอมละออ เป็นผู้อำนวยการใหญ่) ว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐประหารเพื่อประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ครานี้ท่านคงไม่ออกมาแถลงข่าวทางทีวีคัดค้าน พรบ.ความมั่นคงเลยหรือ?
ในฐานะที่ท่านสังกัดองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับสากล คุณไพโรจน์ พลเพชร ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพ ผู้ปีนป่ายกำแพงรัฐสภา ร่วมกับ คุณจอน อึ้งภากรณ์ คัดค้าน พรบ.ฉบับนี้
ตอนนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์นำมาใช้จริงๆ แล้ว จะว่าไงกัน ?
คงไม่ช้านักหรอก ผู้นำองค์กรสิทธิ์มนุษยชนเหล่านี้ คงออกมาให้ความเห็นว่า พรบ.ฉบับนี้ ริดรอนสิทธิมนุษยชน รัฐบาลไม่ควรนำ พรบ.มาใช้ เพราะพวกเขา ไม่ออกมา ไม่ได้ ยังไงก็ต้องคัดค้าน
ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน พวกเขาต้องดูดีอยู่ตลอดกาล ไม่อย่างนั้น คนในแวดวงโดยเฉพาะแวดวงสากล จะสงสัยถึงบทบาทนักสิทธิมนุษยชนไทยกัน
แต่พวกเขาจะแสดงบทบาทพอเป็นน้ำจิ้มเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้พุ่งทวนธนูสกัดกั้นกฎหมายนี้อย่างจริงจังมากนัก
ทำไม ? คิดเช่นนั้น
ปกติ พวกเขาเป็นนักเคลื่อนไหว มีทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มีความเจนจัดในการลงสนามรบ มีประสบการณ์กองโต ในการคัดค้านนโยบาย กฎหมาย ต่างๆ ที่ไม่ชอบธรรม
พวกเขาจะวางจังหวะก้าว การเคลื่อนไหวประเด็นต่างๆ อย่างรอบด้าน รัดกุม เพื่อหยุดยั้งความไม่ชอบธรรมต่างๆ อย่างเป็นกระบวน อย่างเป็นขบวน มีข่าวต่อสาธารณต่อเนื่อง
พวกเขาจะประสานสื่อ หาช่องทางออกสนทนารายการสื่อ จัดการสัมมนา หาแนวร่วม รวมกลุ่มกันบุกไปทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายกรัฐมนตรี เผลอๆ ปีนทำเนียบด้วย
เพียงแต่งานนี้ ไม่ได้เป็นรัฐบาลที่พวกเขาจงเกลียดจงชัง
พวกเขาจึงไร้แผนการที่ช่ำชอง พวกเขาจึงมีสองมาตรฐาน
งานนี้ พวกเขาคงเพียงออกม าไม่ให้องค์กรสิทธิมนุษยชนดูน่าเกลียดเท่านั้น คอยดูก็แล้วกัน
เพราะพวกเขา กลัวเข้าทางเสื้อแดง
เพราะพวกเขา กลัวเข้าทางทักษิณ
เพระพวกเขา เลือกทางรัฐบาลอภิสิทธิ์
เพราะพวกเขา เลือกทางอำมาตยาธิปไตย
เพราะพวกเขา ไม่ได้ยึดมั่นประชาธิปไตย
มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา
ท่านนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายว่าไง ?
4 ตุลาคม 2552
ในที่สุด รัฐบาลก็เตรียมประกาศ พรบ.ความมั่นคงแห่งชาติ ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 15 เขตพื้นที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม นี้
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย จึงต้องเคารพสิทธิการชุมนุมของประชาชน อย่างสันติวิธีปราศจากอาวุธ และก็เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับอัปยศ 2550 ด้วย
ไฉน รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่มักอ้างว่า ประชาชน สนับสนุน มิใช่อำมาตย์ กองทัพ พวกคลั่งชาติ หนุนหลัง จึงกล้าประกาศออกกฎหมายริดรอนสิทธิเสรีภาพ สังคมประชาธิปไตย
รัฐบาลก็อ้างว่า คนเสื้อแดงจะไปทำให้การประชุมนี้ ต้องเสียบรรยากาศ กลัวคนเสื้อแดงจะล้มการประชุม กระนั้นหรือ ?
ถามว่า ประชาชนทุกกลุ่ม มิเพียงคนเสื้อแดง มีสิทธิในการชุมนุมอย่างสันติวิธีหรือไม่ ?
ตอบว่า ในสังคมประชาธิปไตย รัฐบาลไม่มีสิทธิใช้อำนาจหยุดยั้งการชุมนุม มีแต่รัฐบาลอำนาจนิยมเผด็จการเท่านั้น ที่กระทำอย่างนี้ แม้ว่าปากจะบอกว่า รักประชาธิปไตยก็ตาม
นักสื่อสารมวลชน นักวิชาการ ปัญญาชนทั้งหลาย ผู้อ้างว่า รักประชาธิปไตย จะเมินเฉยให้รัฐบาลใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบธรรม กระนั้นหรือ ?
หรือพวกท่านก็รักประชาธิปไตยเพียงลมปากเท่านั้นเอง แล้วองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งหลายละว่าไงบ้าง ?
การริดรอนสิทธิชุมนุมของประชาชน เป็นการทำลายสิทธิพื้นฐานในสังคมประชาธิปไตย และเป็นการบ่อนทำลายสิทธิมนุษยชน พวกท่านทราบกันดี ?
คุณเมธา มาสขาว ผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับตนเองและองค์กรของท่าน (มีคุณสมชาย หอมละออ เป็นผู้อำนวยการใหญ่) ว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐประหารเพื่อประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ครานี้ท่านคงไม่ออกมาแถลงข่าวทางทีวีคัดค้าน พรบ.ความมั่นคงเลยหรือ?
ในฐานะที่ท่านสังกัดองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับสากล คุณไพโรจน์ พลเพชร ผู้อำนวยการสมาคมสิทธิเสรีภาพ ผู้ปีนป่ายกำแพงรัฐสภา ร่วมกับ คุณจอน อึ้งภากรณ์ คัดค้าน พรบ.ฉบับนี้
ตอนนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์นำมาใช้จริงๆ แล้ว จะว่าไงกัน ?
คงไม่ช้านักหรอก ผู้นำองค์กรสิทธิ์มนุษยชนเหล่านี้ คงออกมาให้ความเห็นว่า พรบ.ฉบับนี้ ริดรอนสิทธิมนุษยชน รัฐบาลไม่ควรนำ พรบ.มาใช้ เพราะพวกเขา ไม่ออกมา ไม่ได้ ยังไงก็ต้องคัดค้าน
ในฐานะนักสิทธิมนุษยชน พวกเขาต้องดูดีอยู่ตลอดกาล ไม่อย่างนั้น คนในแวดวงโดยเฉพาะแวดวงสากล จะสงสัยถึงบทบาทนักสิทธิมนุษยชนไทยกัน
แต่พวกเขาจะแสดงบทบาทพอเป็นน้ำจิ้มเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้พุ่งทวนธนูสกัดกั้นกฎหมายนี้อย่างจริงจังมากนัก
ทำไม ? คิดเช่นนั้น
ปกติ พวกเขาเป็นนักเคลื่อนไหว มีทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มีความเจนจัดในการลงสนามรบ มีประสบการณ์กองโต ในการคัดค้านนโยบาย กฎหมาย ต่างๆ ที่ไม่ชอบธรรม
พวกเขาจะวางจังหวะก้าว การเคลื่อนไหวประเด็นต่างๆ อย่างรอบด้าน รัดกุม เพื่อหยุดยั้งความไม่ชอบธรรมต่างๆ อย่างเป็นกระบวน อย่างเป็นขบวน มีข่าวต่อสาธารณต่อเนื่อง
พวกเขาจะประสานสื่อ หาช่องทางออกสนทนารายการสื่อ จัดการสัมมนา หาแนวร่วม รวมกลุ่มกันบุกไปทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือคัดค้านต่อนายกรัฐมนตรี เผลอๆ ปีนทำเนียบด้วย
เพียงแต่งานนี้ ไม่ได้เป็นรัฐบาลที่พวกเขาจงเกลียดจงชัง
พวกเขาจึงไร้แผนการที่ช่ำชอง พวกเขาจึงมีสองมาตรฐาน
งานนี้ พวกเขาคงเพียงออกม าไม่ให้องค์กรสิทธิมนุษยชนดูน่าเกลียดเท่านั้น คอยดูก็แล้วกัน
เพราะพวกเขา กลัวเข้าทางเสื้อแดง
เพราะพวกเขา กลัวเข้าทางทักษิณ
เพระพวกเขา เลือกทางรัฐบาลอภิสิทธิ์
เพราะพวกเขา เลือกทางอำมาตยาธิปไตย
เพราะพวกเขา ไม่ได้ยึดมั่นประชาธิปไตย
มันเป็นเช่นนั้นเอง ตถตา
ท่านนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลายว่าไง ?
03 ตุลาคม 2552
ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้าภูเก็ต
ทักษิณ โฟนอิน สอนมวยรัฐบาล แก้ปัญหาการท่องเที่ยว ราคายางพารา-พืชผลเกษตร 3จังหวัดชายแดนใต้ อยากเห็นทุกคนหันหน้าเข้าหากันและเกิดการปรองดองแห่งชาติ ย้ำพร้อมคุยกับทุกคน ย้ำชัดสุเทพขี้ขลาดตาขาวที่สุด
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 3 ต.ค.นี้ ที่ห้องประชุมออร์คิด โรงแรมภูเก็ตทาวน์อิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ เป็นประธานเปิดการอบรม “โครงการจัดอบรมผู้นำการพัฒนาประชาธิปไตย จ.ภูเก็ต ครั้งที่ โดยมีนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล นายทวี สุระบาล นายวีระกร คำประกอบ นายพิเชษฐ สถิรชวาล นายภูมิพิทักษ์ กรองแก้ว มาร่วมเป็นวิทยากร และมีกลุ่มประชาชนใน 14 จังหวัดภาคใต้ กว่า 200 คนเข้าร่วม และการอบรมครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินเข้ามาพูดคุยกับผู้เข้าร่วมอบรมกว่า 30 นาที ซึ่งสร้างความดีใจแก่ผู้ที่เข้าร่วมประชุมอย่างมาก
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวกับผู้เข้าร่วมอบรมผ่านทางโทรศัพท์ว่า ยังจำได้ว่าเมื่อปี 2548 คลื่นยักษ์สึนามีเกิดขึ้นที่ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ และที่ผ่านมาเกิดขึ้นที่ประเทศซามัว ผมโทรไปหาเจ้าหญิงที่ต้องก้า เขาอยากให้ผมช่วยเหลือเขาซื้อเครื่องทำน้ำจืด เพราะไม่มีน้ำจืดน้ำเค็มพัดถล่มหมด ผมก็ยินดีช่วยเหลือ ตอนที่สึนามมิเกิดขึ้นที่ประเทศไทศ ผมเป็นรัฐบาล ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากใคร และสามารถกู้วิกฤตขึ้นมาได้ภายในปีเดียว แต่น่าเสียดายที่การเมืองทำให้เราเสียโอกาศที่ดี ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเมืองทำให้เสียหายกว่าคลื่นยักษ์สึนามิถล่มเสียอีกเสียดายว่าการรัฐประหาร 3 ปีที่ผ่านมา ทำร้ายทุกฝ่าย มันไม่ได้ทำลายเฉพาะฝ่ายสีเหลือง หรือฝ่ายสีแดง แต่มันทำลายคนทั้งประเทศ ทั้งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คนตกงาน ราคาพืชผลกเกษตรตกต่ำ การท่องเที่ยวแย่ สถาบันที่น่าเชื่อถือก็ต้องทรุดโทรมไปด้วย เพราะมีคนนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่รู้ว่าจะได้คืนขึ้นเมื่อใด และตนอยากให้เกิดความปรองดองแห่งชาติ อยากใหทุกคนหันหน้ามาปรองดอกกัน หันหน้ามาป้องบ้านเกิดเพราะบ้านจะปล่อยให้ไฟใหม้ต่อไปแบบนี้ไม่ไหมอีกแล้วเพราะไม่เช่นนั่นจะพังกันทั้งประเทศ ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยหมดแล้ว ขณะนี้ไม่อยู่ในเรด้าของ ไม่มีประเทศใดที่อยากมาลงทุน เพราะความไม่มั่นคงทางกรเมือง
ไม่อยากให้ผมเล่นการเมืองก็ไม่เป็นไรขณะนี้การเมืองบลัพกันคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชน ไม่ใช่นักการเมือง ประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือการเมือง ทุกคนต้องคิดถึงประชาชน แต่เดี๋ยวนี้นักการเมืองเป็นนัการเมืองอาชีพ ทำให้ประชาชนแย่ คิดเพียงอย่างเดียวว่าพวกกูทำอะไรก็ถูก พวกมึงทำอะไรก็ผิด อยากให้ทุกคนหันหน้าเขาหากัน ไม่ใช่ว่าผมมาภาคใต้โดนมือตบไล่ อภิสิทธิ์ ไปอีสาน เหนือ ถูกตีนตบไล่ แล้วถามจะบริหารประเทศกันอย่างไร จะเอาน้ำหน้าที่ไหนไปคุยกับต่างชาติ
ขณะนี้ใช้ระบบศาลเปลืองมากแล้ว ระบบศาลที่เขาตั้งมาหลายชั่วอายุคน ขณะนี้จะเน่าหมดแล้ว อย่างอาจารย์สอนกฎหมายสอนอย่างมาใช้อีกอย่างหนึ่งเพราะถูกใบสั่ง อยากถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร ปัญหาทุกวันนี้หากเสณษฐกิจล่มจม ไม่ขายชาติเหมือนขายชาติ ช่วงหน้าไฮซีวั่นแบบนี้ผมคิดว่าในภูเก็ต เดินเข้าไปโรงแรมไหน โรงแรมนั้นว่างหมด ฝรั่งเขาก็ชอบบอกว่ามาภูเก็ตดี ไม่ต้องจองโรงแรมล่วงหน้า ขณะนี้ทั่วโลกแข่งขันกันด้านการท่องเที่ยว แต่ประเทศอื่นแพ้ประเทศไทยที่การบริการ แต่เมื่อมาเจอคนไทยรบกันแบบนี้นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวก็ไม่มาเที่ยว
นักการเมืองเดี่ยวนี้คิดอย่างเดียวจะทำอย่างไรให้อยู่รอดอยู่ยาว คนมือยาวก็สาวได้สาวเอา กู้กันมากินมาโกงแล้วถามว่าชาวบ้านจะอยู่อย่างไร เมื่อชาวบ้านกู้มาส่งดอกแต่รับบาลกู้มากิน
สำหรับการแก้ปัญหาของจังหวัดภูเก็ตในวันนี้ งานใหญ่คือต้องแก้ปัญหาความวุ่นวายในประเทศ ต่อมาคือการโปรโมตของไทยเราไม่ถึงขั้นเรื่องโฆษณาที่ออกในซีเอ็นเอ็น เคอีทีฟ ไม่เก่ง ไม่ดี นักท่องเที่ยวรู้ความเป้นไทยอย่างเดียวก้เรือสุพรรณหงส์ และรัฐบาลต้องทำงานร่วมกับภาคเอกชน ขณะนี้รัฐบาลทำงานร่วมกับ 36 คน ยังไม่ค่อยได้ เลือกตั้ง ผบตร.คนเดียวยังตั้งไม่ได้ เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยผบตร.คนเก่าเกษียณแล้วคนใหม่ยังตั้งไม่ได้ คนที่จะมาบริหารประเทศในขณะนี้บริหารยากว่าเมื่อ 20-30 ปี ที่แล้ว เพราะความเชื่อมโยงของโลกที่มันโดมกันไปหมด คนที่จะมาบริหารต้องมีความเข้าใจ คนที่นำต้องมียุทธศาสตร์ การท่องเที่ยวนี้น่าจะเป็นประโยชน์น่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก เพราะมีความได้เปรียบทั้งสนามบินสุวรรณภูมิ ชายทะเล ภูเขา
ส่วนการแก้ปัญหาภาคใต้ขณะนี้มีอยู่แต่ 3-4 ประเด็น บางอย่างก็แกก้ง่ายและบางอย่างต้องใช้เวลา เรื่องแรกที่ต้องแก้ไข 1.ท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยที่สุด คือ ซี ซัน แซน รัฐบาลจะต้องปรับโครงสร้างหนี้ให้ผู้ประกอบการที่เจอการเมืองจนบอบช้ำก่อนให้เขาพออยู่ได้ก่อน เขาจึงมีแรงสร้างงานต่อ จากนั้นทำการตลาดท่องเที่ยวโปรโมทบุกการตลาดเชิงรุก 2.ดูแลเรื่องราคายางพารา-ผลไม้ ให้กลับคืนมาเหมือนในอดีต รัฐบาลต้องคิดหและดูแลแผนการตลาดรองรับสินค้าเกษตรก่อนฤดูกาล แต่ที่ผ่านมาไม่ทำกันเลย 3 และรื่องความสงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า 99 วัน จะสงบ แต่ดูซิกี่เดือนยังไม่สงบ แนวทางคือฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายการเมืองไม่ต้องเจรจา ต้องให้เขาเป็นฝ่ายเจรจา แต่ในขณะเดียวกันต้องทำทุกอย่างไปพร้อมกัน เช่นบังคับใช้กฎหมาย การรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ทุกวันนี้เน้นอย่างเดียวคือเบิกเบี้ยเลี้ยงทหาร ทำให้ทหารไทยรบไม่เป็นเป็นแต่ยึดสถานีทหาร ต้องให้ทหารรู้หน้าที่ของตนเอง และตนคิดว่าคนที่ออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ขี้ขลาดที่สุดคือสุเทพ เทือกสุบรรณ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เขาใช้ออกที่ 3จว.ใต้ กลับเอาไปออกที่กรุงเทพฯ ยอมรับว่าสุเทพเป็นนักเลง แต่เป็นคนขี้ขลาดที่สุด และปัญหาระยะยาวที่แก้ไขยากที่สุดคือปัญหาการส่งออก
ส่วยกรณีที่ถูกนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่าเป็นโรคมะเร็งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว่า เป็นการพูดเท็จเพื่อต้องการให้ประชาชนที่รักตนหมดกำลังใจที่จะต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น ในความเป็นจริงตนมีสุขภาพที่ดีมาก แต่มีโรคประจำตัวอยู่อย่างเดียวคือ "โรคเหงา" คิดถึงพี่น้องประชาชนที่อยุ่เมืองไทย อยกไปทำงานเพื่อช่วยให้พี่น้องประชาชนชาวไทยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขอให้พี่น้องอดทนอีกนิด ผมได้กลับเมืองไทยแน่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
รพ.กรุงเทพภูเก็ตรับรางวัลสถานประกอบการดีเด่น
รับรางวัล.jpg : นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้อำนวยการอาวุโส และเชาวลิต เหล่าประเสริฐสิริ ผู้จัดการแผนกทรัพยากรบุคคล โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัล สถานประกอบการดีเด่น ด้านสวัสดิการและแรงงานสัมพันธ์ ประจำปี พ.ศ.2552 จาก นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว. แรงงานและสวัสดิการสังคม ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งการได้รับคัดเลือกแสดงถึงความสามารถในการพัฒนาคุณภาพกระบวนการภายใน เพื่อสภาพแวดล้อมที่ดีและพนักงานซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร ได้ทำงานอย่างมีความสุข
เทศบาลนครภูเก็ต เชิญร่วมทอดกฐิน สามัคคี 9 วัด
นางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต เปิดเผยว่า เทศบาลนครภูเก็ต กำหนดจัดทอดกฐินสามัคคี ประจำปี 2552 จำนวน 9 วัด ประกอบด้วย วัดวิชิตสังฆาราม วัดถาวร คุณารามวัดโฆษิตวิหาร วัดเขารังสามัคคีธรรม วัดมงคลนิมิตร วัดเจริญสมณกิจ วัดขจรรังสรรค์ วัดสามกอง และวัดท่าเรือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินสมทบทุนการใช้จ่ายในการบำรุงศาสนกิจแก่วัดดังกล่าวทั้ง 8วัดและสมทบทุน ให้วัดท่าเรือในการก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช อีกทั้งยังเพื่อเป็นการสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของชาติให้คงอยู่สืบไปโดยเทศบาลได้กำหนด ให้มีพิธีทอดกฐินสามัคคี และตั้งกองกฐินรวม ณ สำนักงานเทศบาลนครภูเก็ต หลังจากนั้นจะนำองค์กฐินไปสมโภช ณ วัดท่าเรือ อ.ถลางในวันที่11ตุลาคม 2552 เวลา 08.00–10.30น.ส่วนวัดในเขตเทศบาลฯทั้ง 8 วัดมีรายละเอียดดังนี้
วัดโฆษิตวิหาร และวัดถาวรคุณาราม กำหนดสมโภชองค์กฐิน ในวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 และทอดผ้ากฐินสามัคคี ในเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552
วัดขจรรังสรรค์ กำหนดสมโภชองค์กฐินในวันเสาร์ที่10 ตุลาคม 2552 และทอดผ้ากฐินสามัคคีในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552
วัดเจริญสมณกิจ กำหนดทอดผ้ากฐินสามัคคี ในวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552
วัดวิชิตสังฆาราม และวัด มงคลนิมิตร กำหนดสมโภชองค์กฐิน ในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2552 และทอดผ้ากฐินสามัคคี ณ ในอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2552
วัดเขารังสามัคคีธรม กำหนดทอดผ้ากฐินสามัคคีในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552
วัดสามกอง
นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่าในโอกาสนี้ เทศบาลนครภูเก็ตขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้างกุศล และบำรุงพระพุทธศาสนา ในช่วงเทศกาลออกพรรษาเพื่อให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไปจนชั่วลูกชั่วหลาน และเพื่อความเป็นสิริมลคลแก่ชีวิตต่อไป
วัดโฆษิตวิหาร และวัดถาวรคุณาราม กำหนดสมโภชองค์กฐิน ในวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 และทอดผ้ากฐินสามัคคี ในเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552
วัดขจรรังสรรค์ กำหนดสมโภชองค์กฐินในวันเสาร์ที่10 ตุลาคม 2552 และทอดผ้ากฐินสามัคคีในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552
วัดเจริญสมณกิจ กำหนดทอดผ้ากฐินสามัคคี ในวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552
วัดวิชิตสังฆาราม และวัด มงคลนิมิตร กำหนดสมโภชองค์กฐิน ในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2552 และทอดผ้ากฐินสามัคคี ณ ในอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2552
วัดเขารังสามัคคีธรม กำหนดทอดผ้ากฐินสามัคคีในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2552
วัดสามกอง
นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวเพิ่มเติมว่าในโอกาสนี้ เทศบาลนครภูเก็ตขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนทุกท่าน ร่วมทำบุญสร้างกุศล และบำรุงพระพุทธศาสนา ในช่วงเทศกาลออกพรรษาเพื่อให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไปจนชั่วลูกชั่วหลาน และเพื่อความเป็นสิริมลคลแก่ชีวิตต่อไป
02 ตุลาคม 2552
เมื่อที่พึ่งสุดท้าย ... เพี้ยน.. อย่างอื่นก็ไม่มีความหมายอะไร?
โดย คุณ ดาวประกายพรึก
ที่มา เวบไซต์ เดลินิวส์
2 ตุลาคม 2552
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาฯมูลนิธิแพทย์ชนบท แฉเอง
งบ 3 หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง มีการบีบซื้อเครื่องฆ่าเชื้อยูวี-แฟน ชนิดแพงหูดับจาก 6,000 เป็น 4 หมื่นบาท
เครื่องช่วยหายใจจาก 5 แสนเป็น 1.2 ล้าน
แฟลตพยาบาลจาก 6 ล้านเป็น 9.6 ล้าน ปล้นกลางแดด เลยนะ
ทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง (กินไม่พอเพียง) ยังไม่ทันจางหาย เรื่องนี้ก็โฉ่อีก
ถึงนายกฯ จะสั่งฟันเด็ดขาด แต่ก็คงงั้นๆ เหมือนโครงการแรก มีแค่ระดับ ส.ก.กับ เจ้าหน้าที่ระดับล่างๆ รับกรรมไป ตัวใหญ่ๆ ยังลอยหน้าลอยตา ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น
ส.ว.รสนา โตสิตระกูล ที่เคยสร้างชื่อจับทุจริตซื้อยา 1,800 ล้านยุค ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ แล้วมี รักเกียรติ สุขธนะ รมต. ติดคุก เพราะกรณีนี้ จะว่าไง จะออกโรงอีกครั้งมั้ย
เพราะยุคนี้มี 2 มาตรฐาน และ เลือกปฏิบัติแบบเปิดเผยอีกด้วย เหมือน กฎหมาย 2 มาตรฐาน หลังยุค คมช.ลากรถถังออกมายึดอำนาจ แล้วตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ขึ้นมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม รู้จักในนาม ตุลาการภิวัฒน์ นี่ล่ะ ทั้งๆ ที่คำนี้ ไม่มีบัญญัติใน พจนานุกรม เลย แต่กลับเป็นเครื่องมือทรงพลัง มีทั้งการใช้กฎหมายย้อนหลัง การตีความแบบกว้าง แบบแคบ แล้วแต่จำเลยเป็นใคร สำนวนอ่อน หรือแก่ ก็ได้
ความขัดแย้งของ คตส. และ อัยการสูงสุด (อสส.) ในคดีทุจริตกล้ายาง ที่ ศาลฎีกาฯนักการเมือง เพิ่งสั่งยกฟ้องไปนั้น น่าสนใจมาก ใครก็รู้ว่า คตส.ใหญ่มาก แต่ อสส. ก็กล้าหือ ไม่ยอมฟ้องคดีกล้ายางตอบสนอง
คดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยไปวันพุธ อสส.ก็เห็น ไม่ควรฟ้อง คตส. ต้องจ้างทนายฟ้องเองหมด
ล่าสุด นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการอัยการ ไปพูดในงานสัมมนา มีคนฟังมากมาย ว่า
“สังคมมันเพี้ยน เพราะบางองค์กรทำเกินหน้าที่ จะให้เขาสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการ ออกมาให้ข่าวว่า คนนั้นคนนี้ทุจริต ระบบมันเสีย สังคมวุ่นวายวันนี้ เพราะสั่งคดีถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ เราพยายามตระหนักที่สุด ไม่ก้าวล่วงองค์กรอื่น แต่ถูกองค์กรอื่นมาพูดเสียๆ หายๆ วิพากษ์วิจารณ์ให้ข่าว พูดภาษาชาวบ้านคือ ขี้แพ้ชวนตี ผมไม่ชอบ”
น่าจะเป็นครั้งแรกๆ มั้ง ที่คนในวงการยุติธรรม ออกมาพูดถึงผู้คนในแวดวงเกี่ยวพันว่า เพี้ยน สังคมวุ่นวายทุกวันนี้ เพราะ ระบบมันเสีย
นั่นสินะ ที่พึ่งสุดท้าย เพี้ยนเมื่อไหร่ อย่างอื่นก็ไร้ความหมายจริงๆ จึงขอคารวะในความกล้าหาญของนายเสริมเกียรติ น้อยคนนักจะกล้าพูดความจริงในยุคนี้
ต่อให้โก่งคอร้องเพลงชาติ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็น โชว์ทีวีทั้งปี หากความเป็นธรรมไม่มี สันติสุขก็ไม่เกิด หรอก นอกจากหลอกตัวเองไปวัน ๆ
ครม.ล่าสุด มีมติเด้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองปลัดยุติธรรม ก็เพราะ ทำคดี ทีพีไอบริจาคเงิน 258 ล้านให้ ปชป. ตรงไปตรงมามากไป เลยเป็นพิษ
อีกเรื่อง ครม.อนุมัติเช่ารถเมล์ 4,000 คัน 6.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วน ภูมิใจไทย ก็ถอยเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญแล้ว เค้าสมผลประโยชน์แล้ว ที่เสีย “ค่าโง่” ดูปาหี่ ก็คนไทยตาดำ ๆ นี่ล่ะ
แล้ว ป.ป.ช.ก็มีมติ เชือด สมัคร สุนทรเวช และ นพดล ปัทมะ ในคดี ปราสาทพระวิหาร แค่ 2 คน จากจำเลย 28 คน ที่เหลือปล่อยผีหมด พอดีเนื้อที่หมด เอาไว้วันหลังเถอะ.
ที่มา เวบไซต์ เดลินิวส์
2 ตุลาคม 2552
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาฯมูลนิธิแพทย์ชนบท แฉเอง
งบ 3 หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง มีการบีบซื้อเครื่องฆ่าเชื้อยูวี-แฟน ชนิดแพงหูดับจาก 6,000 เป็น 4 หมื่นบาท
เครื่องช่วยหายใจจาก 5 แสนเป็น 1.2 ล้าน
แฟลตพยาบาลจาก 6 ล้านเป็น 9.6 ล้าน ปล้นกลางแดด เลยนะ
ทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง (กินไม่พอเพียง) ยังไม่ทันจางหาย เรื่องนี้ก็โฉ่อีก
ถึงนายกฯ จะสั่งฟันเด็ดขาด แต่ก็คงงั้นๆ เหมือนโครงการแรก มีแค่ระดับ ส.ก.กับ เจ้าหน้าที่ระดับล่างๆ รับกรรมไป ตัวใหญ่ๆ ยังลอยหน้าลอยตา ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น
ส.ว.รสนา โตสิตระกูล ที่เคยสร้างชื่อจับทุจริตซื้อยา 1,800 ล้านยุค ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ แล้วมี รักเกียรติ สุขธนะ รมต. ติดคุก เพราะกรณีนี้ จะว่าไง จะออกโรงอีกครั้งมั้ย
เพราะยุคนี้มี 2 มาตรฐาน และ เลือกปฏิบัติแบบเปิดเผยอีกด้วย เหมือน กฎหมาย 2 มาตรฐาน หลังยุค คมช.ลากรถถังออกมายึดอำนาจ แล้วตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ขึ้นมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม รู้จักในนาม ตุลาการภิวัฒน์ นี่ล่ะ ทั้งๆ ที่คำนี้ ไม่มีบัญญัติใน พจนานุกรม เลย แต่กลับเป็นเครื่องมือทรงพลัง มีทั้งการใช้กฎหมายย้อนหลัง การตีความแบบกว้าง แบบแคบ แล้วแต่จำเลยเป็นใคร สำนวนอ่อน หรือแก่ ก็ได้
ความขัดแย้งของ คตส. และ อัยการสูงสุด (อสส.) ในคดีทุจริตกล้ายาง ที่ ศาลฎีกาฯนักการเมือง เพิ่งสั่งยกฟ้องไปนั้น น่าสนใจมาก ใครก็รู้ว่า คตส.ใหญ่มาก แต่ อสส. ก็กล้าหือ ไม่ยอมฟ้องคดีกล้ายางตอบสนอง
คดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยไปวันพุธ อสส.ก็เห็น ไม่ควรฟ้อง คตส. ต้องจ้างทนายฟ้องเองหมด
ล่าสุด นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการอัยการ ไปพูดในงานสัมมนา มีคนฟังมากมาย ว่า
“สังคมมันเพี้ยน เพราะบางองค์กรทำเกินหน้าที่ จะให้เขาสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการ ออกมาให้ข่าวว่า คนนั้นคนนี้ทุจริต ระบบมันเสีย สังคมวุ่นวายวันนี้ เพราะสั่งคดีถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ เราพยายามตระหนักที่สุด ไม่ก้าวล่วงองค์กรอื่น แต่ถูกองค์กรอื่นมาพูดเสียๆ หายๆ วิพากษ์วิจารณ์ให้ข่าว พูดภาษาชาวบ้านคือ ขี้แพ้ชวนตี ผมไม่ชอบ”
น่าจะเป็นครั้งแรกๆ มั้ง ที่คนในวงการยุติธรรม ออกมาพูดถึงผู้คนในแวดวงเกี่ยวพันว่า เพี้ยน สังคมวุ่นวายทุกวันนี้ เพราะ ระบบมันเสีย
นั่นสินะ ที่พึ่งสุดท้าย เพี้ยนเมื่อไหร่ อย่างอื่นก็ไร้ความหมายจริงๆ จึงขอคารวะในความกล้าหาญของนายเสริมเกียรติ น้อยคนนักจะกล้าพูดความจริงในยุคนี้
ต่อให้โก่งคอร้องเพลงชาติ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็น โชว์ทีวีทั้งปี หากความเป็นธรรมไม่มี สันติสุขก็ไม่เกิด หรอก นอกจากหลอกตัวเองไปวัน ๆ
ครม.ล่าสุด มีมติเด้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองปลัดยุติธรรม ก็เพราะ ทำคดี ทีพีไอบริจาคเงิน 258 ล้านให้ ปชป. ตรงไปตรงมามากไป เลยเป็นพิษ
อีกเรื่อง ครม.อนุมัติเช่ารถเมล์ 4,000 คัน 6.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วน ภูมิใจไทย ก็ถอยเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญแล้ว เค้าสมผลประโยชน์แล้ว ที่เสีย “ค่าโง่” ดูปาหี่ ก็คนไทยตาดำ ๆ นี่ล่ะ
แล้ว ป.ป.ช.ก็มีมติ เชือด สมัคร สุนทรเวช และ นพดล ปัทมะ ในคดี ปราสาทพระวิหาร แค่ 2 คน จากจำเลย 28 คน ที่เหลือปล่อยผีหมด พอดีเนื้อที่หมด เอาไว้วันหลังเถอะ.
พี่น้องมุสลิมเลี้ยงต้อนรับที่ดินจังหวัดภูเก็ตคนใหม่
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 เชิญร่วมยกช่อฟ้าอุโบสถ และทอดกฐินสามัคคี วัดบ้านเกาะสิเหร่ ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต
คณะกรรมการวัดบ้านเกาะสิเหร่ ได้กรานกฐินตามพระบรมพุทธานุญาต เพื่อรวบรวมปัจจัยอันเป็นบริวารกฐิน จึงได้ร่วมกับพุทธศาสนิกชนร่วมกันจัดพิธียกช่อฟ้าอุโบสถ และทอดกฐินสามัคคี เพื่อสมทบสร้างอุโบสถที่กำลังก่อสร้างอยู่ โดยมีกำหนดการดังนี้
วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม 2552 เวลา 19.00 น. สมโภชผ้ากฐิน ณวัดบ้านเกาะสิเหร่
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม 2552 เวลา 9.29 น. พิธียกช่อฟ้าอุโบสถ, 11.00 น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์,12.15 น. แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์, 13.00 น. ถวายองค์กฐิน
ขอเชิญสาธุชนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมทอดกฐินสามัคคี และยกช่อฟ้าอุโบสถวัดบ้านเกาะสิเหร่ในครั้งนี้ โดยพร้อมเพรียงกัน
01 ตุลาคม 2552
โหมโรง "กินผัก"ภูเก็ต ปีนี้คาดเงินสะพัด 200 ล้านบาท
วันที่ 1 ต.ค. 2552 ที่ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง อ. เมือง จ. ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักประจำปี 2552 โดยมีนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผอ.ททท. สำนักงานภูเก็ต นายสมมาศ ฐานันดรวัฒน์ รองประธานชมรมอ๊ามภูเก็ต นายธีรวุธ ศรีตุลารักษ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง และตัวแทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลง
นายตรี กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตร่วมกับชมรมอ๊ามจังหวัดภูเก็ต และทุกภาคส่วนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2552 ในระหว่างวันที่ 18 - 26 ตุลาคม 2552 ณ บริเวณพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ต เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ที่เก่าแก่ของชาวจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี ในปีนี้จะจัด อย่างยิ่งใหญ่ เน้นอนุรักษ์ความเป็นวิถีชีวิต และวัฒนธรรมดั้งเดิม ในเรื่องของอาหาร การแต่งกาย การประดับธงทิว โคมไฟ ที่เป็นเอกลักษณ์สวยงาม และมีความเป็นสิริมงคล เพื่อรองรับการท่องเที่ยว ก่อนจะถึงหน้าไฮซีซั่น โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน มาเลเซีย และสิงค์โปร์ เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
ในปีนี้ทางจังหวัดจะเข้มงวดในเรื่องของการเล่นปะทัดดอกไม้เพลิง โดยออกประกาศจังหวัด ป้องกันในเรื่องของการค้าหรือการใช้ดอกไม้เพลิงในช่วงเทศกาลดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและลดการรบกวนการเดินทางของนักท่องเที่ยว รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราราคาสินค้าช่วงก่อนประเพณีกินผักไม่ให้มีการจำหน่ายราคาเกินควร และเน้นคุณภาพมีความสะอาดปลอดภัย ในส่วนของวัสดุอุปกรณ์ม้าทรงที่ต้องใช้ ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ตรวจตรา และให้คำแนะนำการใช้อุปกรณ์มีคม ที่นำมาทิ่มแทงร่างกายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ด้าน พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ตร.ภก. กล่าวว่า ทางตำรวจภูธรได้เตรียมแผนและคำสั่งดูแลในช่วงเทศกาลดังกล่าว 3 เรื่อง ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การคุมเข้มการเล่นปะทัด ดอกไม้ไฟ และการดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม เป็นต้นไป โดยทางตำรวจขอความร่วมมือประชาชนอย่าเล่นปะทัด บ๊ะจ่างนอกขอบเขต ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวหรืออาจเกิดเพลิงไหม้ได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูเก็ตจะมีการกวดขันเป็นพิเศษ
ส่วนนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวว่า ทางเทศบาลนครภูเก็ตได้มีการรักษาประเพณีที่ดีงาม ความสัมพันธ์ที่ดีด้านวัฒนธรรม ซึ่งประเพณีถือศีลกินผัก ถือเป็นวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายจีนของชาวภูเก็ตที่ทุกคนรอคอยมาร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงาม ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตโดยในปีนี้ทางเทศบาลฯ จะมีการประดับโคมไฟ ทำซุ้มกินผัก จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อแผ่นพับ อักษรวิ่งร่วมกับศาลเจ้าและสนับสนุนการแก้ปัญหาขยะระหว่างกินผักและช่วงขบวนแห่พระเพื่อไม่ให้มีขยะตกค้าง
ทางด้านนายเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่าในช่วงเทศกาลกินผักนี้จะมีสายการบินตรงมายังภูเก็ต 6 สายการบิน จากกวางเจา เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน และจากสิงคโปร์ มาเลเซียจะบินตรงมาภูเก็ตด้วย ขณะนี้จากการรวบรวมข้อมูลห้องพักของภูเก็ตมีจำนวน 38,000 ห้อง มีการจองเข้ามาแล้วกว่า 60 % โดยในส่วนของพื้นที่อำเภอเมือง มีทั้งหมด 4,200 ห้อง ขณะนี้สามวันสุดท้ายของช่วงประเพณีถือศีลกินผักมีการจองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนพื้นที่กะรนอยู่ที่ 80% อย่างไรก็ตามคาดว่าช่วงงานประเพณีดังกล่าว จะมีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวกว่า 200 ล้านบาท
นายธีรวุธ ศรีตุลารักษ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย กล่าวว่า ในปีนี้ทางศาลเจ้าฯ ได้เชิญ พลเอกพิจิตร กุลวณิชย์ เป็นประธานในพิธียกเสาโกเต้งในวันที่ 17 ตุลาคม 2552 ในเวลา 17.09 น. ณ ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบเก้ง และในปีนี้ทางศาลเจ้าฯ ได้มีการจัดกิจกรรมถนนคนเดินร่วมกับทางเทศบาลนครภูเก็ตโดยจะมีการ ขยายเวลาปิดถนน เพื่อให้เป็นถนนคนเดิน บริเวณถนนระนอง และหน้าศาลเจ้า โดยจะเริ่มปิดถนนตั้งแต่เวลา 18.00 น.-22.00 น. ตลอดช่วงงานประเพณีฯ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเดินชมและเลือกซื้ออาหารได้สะดวกยิ่งขึ้น
วันที่ 1 ต.ค. ที่ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง อ. เมือง จ. ภูเก็ต นายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานประเพณีถือศีลกินผักประจำปี 2552 โดยมีนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผอ.ททท. สำนักงานภูเก็ต นายสมมาศ ฐานันดรวัฒน์ รองประธานชมรมอ๊ามภูเก็ต นายธีรวุธ ศรีตุลารักษ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบ้เก้ง และตัวแทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลง
นายตรี กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตร่วมกับชมรมอ๊ามจังหวัดภูเก็ต และทุกภาคส่วนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2552 ในระหว่างวันที่ 18 - 26 ตุลาคม 2552 ณ บริเวณพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ต เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ที่เก่าแก่ของชาวจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี ในปีนี้จะจัด อย่างยิ่งใหญ่ เน้นอนุรักษ์ความเป็นวิถีชีวิต และวัฒนธรรมดั้งเดิม ในเรื่องของอาหาร การแต่งกาย การประดับธงทิว โคมไฟ ที่เป็นเอกลักษณ์สวยงาม และมีความเป็นสิริมงคล เพื่อรองรับการท่องเที่ยว ก่อนจะถึงหน้าไฮซีซั่น โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน มาเลเซีย และสิงค์โปร์ เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
ในปีนี้ทางจังหวัดจะเข้มงวดในเรื่องของการเล่นปะทัดดอกไม้เพลิง โดยออกประกาศจังหวัด ป้องกันในเรื่องของการค้าหรือการใช้ดอกไม้เพลิงในช่วงเทศกาลดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและลดการรบกวนการเดินทางของนักท่องเที่ยว รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราราคาสินค้าช่วงก่อนประเพณีกินผักไม่ให้มีการจำหน่ายราคาเกินควร และเน้นคุณภาพมีความสะอาดปลอดภัย ในส่วนของวัสดุอุปกรณ์ม้าทรงที่ต้องใช้ ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ตรวจตรา และให้คำแนะนำการใช้อุปกรณ์มีคม ที่นำมาทิ่มแทงร่างกายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ด้าน พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ตร.ภก. กล่าวว่า ทางตำรวจภูธรได้เตรียมแผนและคำสั่งดูแลในช่วงเทศกาลดังกล่าว 3 เรื่อง ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การคุมเข้มการเล่นปะทัด ดอกไม้ไฟ และการดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม เป็นต้นไป โดยทางตำรวจขอความร่วมมือประชาชนอย่าเล่นปะทัด บ๊ะจ่างนอกขอบเขต ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวหรืออาจเกิดเพลิงไหม้ได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูเก็ตจะมีการกวดขันเป็นพิเศษ
ส่วนนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวว่า ทางเทศบาลนครภูเก็ตได้มีการรักษาประเพณีที่ดีงาม ความสัมพันธ์ที่ดีด้านวัฒนธรรม ซึ่งประเพณีถือศีลกินผัก ถือเป็นวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายจีนของชาวภูเก็ตที่ทุกคนรอคอยมาร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงาม ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตโดยในปีนี้ทางเทศบาลฯ จะมีการประดับโคมไฟ ทำซุ้มกินผัก จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อแผ่นพับ อักษรวิ่งร่วมกับศาลเจ้าและสนับสนุนการแก้ปัญหาขยะระหว่างกินผักและช่วงขบวนแห่พระเพื่อไม่ให้มีขยะตกค้าง
นายเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่าในช่วงเทศกาลกินผักนี้จะมีสายการบินตรงมายังภูเก็ต 6 สายการบิน จากกวางเจา เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน และจากสิงคโปร์ มาเลเซียจะบินตรงมาภูเก็ตด้วย ขณะนี้จากการรวบรวมข้อมูลห้องพักของภูเก็ตมีจำนวน 38,000 ห้อง มีการจองเข้ามาแล้วกว่า 60 % โดยในส่วนของพื้นที่อำเภอเมือง มีทั้งหมด 4,200 ห้อง ขณะนี้สามวันสุดท้ายของช่วงประเพณีถือศีลกินผักมีการจองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนพื้นที่กะรนอยู่ที่ 80% อย่างไรก็ตามคาดว่าช่วงงานประเพณีดังกล่าว จะมีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวกว่า 200 ล้านบาท
นายธีรวุธ ศรีตุลารักษ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย กล่าวว่า ในปีนี้ทางศาลเจ้าฯ ได้เชิญ พลเอกพิจิตร กุลวณิชย์ เป็นประธานในพิธียกเสาโกเต้งในวันที่ 17 ตุลาคม 2552 ในเวลา 17.09 น. ณ ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบเก้ง และในปีนี้ทางศาลเจ้าฯ ได้มีการจัดกิจกรรมถนนคนเดินร่วมกับทางเทศบาลนครภูเก็ตโดยจะมีการ ขยายเวลาปิดถนน เพื่อให้เป็นถนนคนเดิน บริเวณถนนระนอง และหน้าศาลเจ้า โดยจะเริ่มปิดถนนตั้งแต่เวลา 18.00 น.-22.00 น. ตลอดช่วงงานประเพณีฯ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเดินชมและเลือกซื้ออาหารได้สะดวกยิ่งขึ้น
นายตรี กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตร่วมกับชมรมอ๊ามจังหวัดภูเก็ต และทุกภาคส่วนต่างๆ ในจังหวัดภูเก็ต กำหนดจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2552 ในระหว่างวันที่ 18 - 26 ตุลาคม 2552 ณ บริเวณพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดภูเก็ต เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ที่เก่าแก่ของชาวจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นประจำทุกปี ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 100 ปี ในปีนี้จะจัด อย่างยิ่งใหญ่ เน้นอนุรักษ์ความเป็นวิถีชีวิต และวัฒนธรรมดั้งเดิม ในเรื่องของอาหาร การแต่งกาย การประดับธงทิว โคมไฟ ที่เป็นเอกลักษณ์สวยงาม และมีความเป็นสิริมงคล เพื่อรองรับการท่องเที่ยว ก่อนจะถึงหน้าไฮซีซั่น โดยคาดว่าในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน มาเลเซีย และสิงค์โปร์ เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมาก
ในปีนี้ทางจังหวัดจะเข้มงวดในเรื่องของการเล่นปะทัดดอกไม้เพลิง โดยออกประกาศจังหวัด ป้องกันในเรื่องของการค้าหรือการใช้ดอกไม้เพลิงในช่วงเทศกาลดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและลดการรบกวนการเดินทางของนักท่องเที่ยว รวมถึงให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราราคาสินค้าช่วงก่อนประเพณีกินผักไม่ให้มีการจำหน่ายราคาเกินควร และเน้นคุณภาพมีความสะอาดปลอดภัย ในส่วนของวัสดุอุปกรณ์ม้าทรงที่ต้องใช้ ได้กำชับให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ได้ตรวจตรา และให้คำแนะนำการใช้อุปกรณ์มีคม ที่นำมาทิ่มแทงร่างกายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ด้าน พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผบก.ตร.ภก. กล่าวว่า ทางตำรวจภูธรได้เตรียมแผนและคำสั่งดูแลในช่วงเทศกาลดังกล่าว 3 เรื่อง ประกอบด้วย การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การคุมเข้มการเล่นปะทัด ดอกไม้ไฟ และการดูแลรักษาความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม เป็นต้นไป โดยทางตำรวจขอความร่วมมือประชาชนอย่าเล่นปะทัด บ๊ะจ่างนอกขอบเขต ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อนักท่องเที่ยวหรืออาจเกิดเพลิงไหม้ได้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูเก็ตจะมีการกวดขันเป็นพิเศษ
ส่วนนางสาวสมใจ สุวรรณศุภพนา นายกเทศมนตรีนครภูเก็ต กล่าวว่า ทางเทศบาลนครภูเก็ตได้มีการรักษาประเพณีที่ดีงาม ความสัมพันธ์ที่ดีด้านวัฒนธรรม ซึ่งประเพณีถือศีลกินผัก ถือเป็นวัฒนธรรมคนไทยเชื้อสายจีนของชาวภูเก็ตที่ทุกคนรอคอยมาร่วมกันสืบสานวัฒนธรรมที่ดีงาม ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตโดยในปีนี้ทางเทศบาลฯ จะมีการประดับโคมไฟ ทำซุ้มกินผัก จัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ สื่อแผ่นพับ อักษรวิ่งร่วมกับศาลเจ้าและสนับสนุนการแก้ปัญหาขยะระหว่างกินผักและช่วงขบวนแห่พระเพื่อไม่ให้มีขยะตกค้าง
นายเศรษฐพันธ์ พุทธานี ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานภูเก็ต กล่าวว่าในช่วงเทศกาลกินผักนี้จะมีสายการบินตรงมายังภูเก็ต 6 สายการบิน จากกวางเจา เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน และจากสิงคโปร์ มาเลเซียจะบินตรงมาภูเก็ตด้วย ขณะนี้จากการรวบรวมข้อมูลห้องพักของภูเก็ตมีจำนวน 38,000 ห้อง มีการจองเข้ามาแล้วกว่า 60 % โดยในส่วนของพื้นที่อำเภอเมือง มีทั้งหมด 4,200 ห้อง ขณะนี้สามวันสุดท้ายของช่วงประเพณีถือศีลกินผักมีการจองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนพื้นที่กะรนอยู่ที่ 80% อย่างไรก็ตามคาดว่าช่วงงานประเพณีดังกล่าว จะมีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวกว่า 200 ล้านบาท
นายธีรวุธ ศรีตุลารักษ์ ประธานศาลเจ้าจุ้ยตุ่ย กล่าวว่า ในปีนี้ทางศาลเจ้าฯ ได้เชิญ พลเอกพิจิตร กุลวณิชย์ เป็นประธานในพิธียกเสาโกเต้งในวันที่ 17 ตุลาคม 2552 ในเวลา 17.09 น. ณ ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยเต้าโบเก้ง และในปีนี้ทางศาลเจ้าฯ ได้มีการจัดกิจกรรมถนนคนเดินร่วมกับทางเทศบาลนครภูเก็ตโดยจะมีการ ขยายเวลาปิดถนน เพื่อให้เป็นถนนคนเดิน บริเวณถนนระนอง และหน้าศาลเจ้า โดยจะเริ่มปิดถนนตั้งแต่เวลา 18.00 น.-22.00 น. ตลอดช่วงงานประเพณีฯ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเดินชมและเลือกซื้ออาหารได้สะดวกยิ่งขึ้น
ภูเก็ตจมหมู่เรือสร้างปะการังเทียมเกาะราชาใหญ่สร้างแหล่งเที่ยวใหม่
วันนี้ (1 ต.ค.) นายไพทูล แพนชัยภูมิ ผู้อำนวยการศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 ภูเก็ต กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวภายหลังการประชุมคณะทำงานบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและชายฝั่งเกาะราชา อ.เมือง จ.ภูเก็ต เพื่อพิจารณาโครงการจัดสร้างปะการังเทียมเพื่อฟูระบบนิเวศและลดผลกระทบการใช้ประโยชน์แนวปะการังธรรมชาติโดยการจมหมู่เรือเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำเกาะราชาใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต
โดยมีนายวรพจน์ รัฐสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธานการประชุม ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องประชุมศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 จ.ภูเก็ตว่า ทางศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 จ.ภูเก็ต ร่วมกับชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติเกาะราชาใหญ่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำโครงการจมหมู่เรือสร้างปะการังเทียมเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและลดผลกระทบการใช้ประโยชน์แนวปะการังธรรมชาติ และสร้างแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำใหม่ที่บริเวณเกาะราชา ขึ้น
โดยโครงการดังกล่าวนั้นจะมีการจมเรือเหล็กที่ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนจำนวน 2 ลำ เป็นเรือเหล็กขนาดกว้าง 4.5 เมตร ยาว 18 เมตร และเรือเหล็กกว้าง 4 เมตร ยาว 28 เมตร ที่บริเวณหน้าอ่าวทือ เกาะราชาใหญ่
อย่างไรก็ตาม ยังมีการจัดหาเรือเพิ่มอีกหนึ่งลำเพื่อนำมาใช้จมในคราวเดียวกัน ซึ่งการจมฝูงเรือดังกล่าวนั้นคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ประมาณเดือน พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีมรสุมคลื่นลมแรง การจมเรือสามารถทำได้สะดวกขึ้น และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมและทำความสะอาดเรือ
นายไพทูลกล่าวต่อไปว่า หลังจากที่มีการดำเนินการจมฝูงเรือเพื่อสร้างปะการังแล้วเสร็จเชื่อว่าจะสามารถลดความแออัดของแหล่งดำน้ำธรรมชาติที่บริเวณเกาะราชาใหญ่ไปได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ในพื้นที่แหล่งดำน้ำบริเวณเกาะราชาใหญ่ในแต่ละวันมีบริษัทดำน้ำนำนักท่องเที่ยวไปดำน้ำชมความสวยงามไม่น้อยกว่า 15 บริษัท มีนักท่องเที่ยวที่เป็นนักดำน้ำไม่ต่ำกว่า 200 คน เนื่องจากเกาะราชาใหญ่อยู่ไม่ไกลจากฝั่งสามารถไปเช้ากลับเย็นได้ภายในวันเดียวจึงมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้แหล่งดำน้ำในบริเวณดังกล่าวมีความแออัด และอาจจะส่งผลให้แนวปะการังธรรมชาติมีความเสื่อมโทรมได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับการทำปะการังเทียมในพื้นที่เกาะราชานั้นหลังจากเหตุการณ์สึนามิถล่มเมื่อปี 25547 ทางศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 ภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้ประกอบการท่องเที่ยวเกาะราชาใหญ่ได้ร่วมกันทำโครงการฟื้นฟูระบบนิเวศแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายและผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิถล่ม
โดยจัดสร้างปะการังเทียมซึ่งใช้วัตถุคอนกรีตรูปเต๋าเพื่อเป็นฐานสำหรับการลงเกาะของปะการังตัวอ่อน จมซากเรือที่ปลดระวางจำนวน 2 ลำ และสร้างประติมากรรมสำหรับเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำ ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาปรากฏว่าประสบความสำเร็จปัจจุบันมีปะการังขึ้นปกคลุมเกือบทุกแห่ง มีสัตว์น้ำเข้าไปอาศัยจำนวนมากสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าชมจำนวนมากในแต่ละวัน
ภูเก็ตมั่นใจมาตรการทำประกันภัยเจ็ตสกีแก้ปัญหาร้องเรียนได้
นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเจ็ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวว่า ที่ผ่านมาทางจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตได้ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการหามาตรการในการแก้ไขปัญหาผู้ประกอบการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวจนมีการร้องเรียนกันอย่างต่อหนึ่ง ซึ่งจากความร่วมมือดังกล่าวส่งผลให้เกิดแนวคิดการทำประกันภัยเจ็ตสกีขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบไปได้ ล่าสุดมีบริษัทประกันภัยที่มีสำนักงานในจังหวัดภูเก็ต 11 แห่ง แจ้งว่าสนใจเสนอตัวมายื่นเอกสารแสดงเงื่อนไขการประกันภัย ซึ่งในวันที่ 8 ตุลาคม นี้จะเปิดให้มีการยื่นซองเสนอราคา และในวันที่ 9 ตุลาคม เวลาประมาณ 09.00 น.จะมีการเปิดซองประมูล พิจารณาคัดเลือกบริษัทประกันภัย ที่เหมาะสมและผู้ประกอบการสามารถรับได้
สำหรับการพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้น่าจะได้ข้อยุติที่ดี เพราะจาการพิจารณาเบื้องต้น ภาระการจ่ายเบี้ยประกันนั้น ผู้ประกอบการเรือเจ็ตสกีอาจจะเพิ่มไปในค่าเช่าเลย เช่น ปกติค่าเช่า 1,500บาท ต่อ 30 นาที เพิ่มเป็น 1,600 บาท ส่วนอัตราเบี้ยประกันจะเป็นเท่าไหร่นั้นจะทราบในวันที่มีการเปิดซองประมูล
นายวิชัย กล่าวต่อว่า จากมาตรการในการแก้ปัญหาดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถยุติปัญหาการร้องเรียนของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับเจ็ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวไปได้ ทั้งนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดอุบัติเหตุ ต่อไป ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว และให้เป็นภาระความรับผิดชอบของบริษัทประกัน ที่จะต้องมีการเรียกร้องความเสียหายตามสิทธิที่ได้มีการตกลงทำประกันเอาไว้ และการดำเนินการในครั้งนี้ ทุกฝ่ายต้องการจะกู้ชื่อเสียงของจังหวัดและผู้ประกอบการเรือเจ็ตสกีโดยส่วนรวม เพราะทราบว่า มีผู้ประกอบการที่มีปัญหากับนักท่องเที่ยวประมาณ 20 กว่ารายเท่านั้น จากเรือเจ็ตสกีทั้งหมด 219 ลำ
พล.ร.ต.อมรโชติ สุจิรัตน์ รองผู้อำนวยการ กอ.รมน.จังหวัดภูเก็ต ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำประกันภัยให้เรือเจ็ตสกีว่า จากความพยายามในการแก้ปัญหาของหน่วยงานเกี่ยวข้อง คิดว่ามาตรการทำประกันภัย น่าจะสามารถแก้ปัญหาเจ็ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวได้ประมาณร้อยละ 90 เนื่องจากยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น สัญญาเช่าระหว่างผู้ประกอบการกับนักท่องเที่ยว โดยจะดำเนินการควบคู่กับการทำประกันภัย โดยให้ผู้ประกอบการร่างสัญญาเช่าส่งมายังจังหวัดเพื่อให้อัยการและคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พิจารณาว่าเป็นธรรมหรือไม่ จากนั้นจะให้นำไปใช้เป็นสัญญาเช่าเรือเจ็ตสกีที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด
ทั้งนี้ เชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบไปได้ ล่าสุดมีบริษัทประกันภัยที่มีสำนักงานในจังหวัดภูเก็ต 11 แห่ง แจ้งว่าสนใจเสนอตัวมายื่นเอกสารแสดงเงื่อนไขการประกันภัย ซึ่งในวันที่ 8 ตุลาคม นี้จะเปิดให้มีการยื่นซองเสนอราคา และในวันที่ 9 ตุลาคม เวลาประมาณ 09.00 น.จะมีการเปิดซองประมูล พิจารณาคัดเลือกบริษัทประกันภัย ที่เหมาะสมและผู้ประกอบการสามารถรับได้
สำหรับการพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้น่าจะได้ข้อยุติที่ดี เพราะจาการพิจารณาเบื้องต้น ภาระการจ่ายเบี้ยประกันนั้น ผู้ประกอบการเรือเจ็ตสกีอาจจะเพิ่มไปในค่าเช่าเลย เช่น ปกติค่าเช่า 1,500บาท ต่อ 30 นาที เพิ่มเป็น 1,600 บาท ส่วนอัตราเบี้ยประกันจะเป็นเท่าไหร่นั้นจะทราบในวันที่มีการเปิดซองประมูล
นายวิชัย กล่าวต่อว่า จากมาตรการในการแก้ปัญหาดังกล่าวเชื่อว่าจะสามารถยุติปัญหาการร้องเรียนของนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับเจ็ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวไปได้ ทั้งนี้ เมื่อมีปัญหาเกิดอุบัติเหตุ ต่อไป ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว และให้เป็นภาระความรับผิดชอบของบริษัทประกัน ที่จะต้องมีการเรียกร้องความเสียหายตามสิทธิที่ได้มีการตกลงทำประกันเอาไว้ และการดำเนินการในครั้งนี้ ทุกฝ่ายต้องการจะกู้ชื่อเสียงของจังหวัดและผู้ประกอบการเรือเจ็ตสกีโดยส่วนรวม เพราะทราบว่า มีผู้ประกอบการที่มีปัญหากับนักท่องเที่ยวประมาณ 20 กว่ารายเท่านั้น จากเรือเจ็ตสกีทั้งหมด 219 ลำ
พล.ร.ต.อมรโชติ สุจิรัตน์ รองผู้อำนวยการ กอ.รมน.จังหวัดภูเก็ต ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำประกันภัยให้เรือเจ็ตสกีว่า จากความพยายามในการแก้ปัญหาของหน่วยงานเกี่ยวข้อง คิดว่ามาตรการทำประกันภัย น่าจะสามารถแก้ปัญหาเจ็ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวได้ประมาณร้อยละ 90 เนื่องจากยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น สัญญาเช่าระหว่างผู้ประกอบการกับนักท่องเที่ยว โดยจะดำเนินการควบคู่กับการทำประกันภัย โดยให้ผู้ประกอบการร่างสัญญาเช่าส่งมายังจังหวัดเพื่อให้อัยการและคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค พิจารณาว่าเป็นธรรมหรือไม่ จากนั้นจะให้นำไปใช้เป็นสัญญาเช่าเรือเจ็ตสกีที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งจังหวัด
ทีโอทีมอบบัตรโทรศัพท์ให้คนพิการ-ชราภูเก็ต
เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (30 ก.ย.) ที่ห้องประชุม บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) จ.ภูเก็ต นายณัฐวุฒิ เจตนา ผู้จัดการส่วนบริการลูกค้าจังหวัดภูเก็ต มอบบัตรโทรศัพท์สำหรับกลุ่มคนพิการและคนชราที่มีรายได้ราย ให้กับผู้พิการและผู้สูงอายุผ่านทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อมอบต่อให้กับผู้พิการและผู้สูงอายุ โดยมีนายตรี อัครเดชา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นางสาวพรรณี สิทธิการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต และนายสมประสงค์ เอี่ยมสกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่งคงของมนุษย์ ร่วมเป็นสักขีพยาน
โดยบัตรโทรศัพท์ที่มอบในวันนี้นั้นเป็นแบบพินโพน 108 จำนวน 3,300 ใบ ในราคาบัตรละ 100 บาท มูลค่า 9,900,000 บาท
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดให้บริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม ลงวันที่ 2 ส.ค. 2548 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2548 เล่มที่ 122 ตอนพิเศษ 58 ง มีสาระสำคัญในข้อ 2.3 ของประกาศดังนี้ “จัดให้มีบัตรโทรศัพท์สำหรับกลุ่มคนพิการ กลุ่มคนชราผู้มีรายได้น้อย กลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นเงินจำนวน 100 บาทต่อเดือนต่อคน จำนวนเดือนละไม่เกิน 1 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 30 เดือน นับแต่วันที่ได้รับอนุญาต ตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นหน่วยงานผู้มีหน้าที่จัดให้มีบัตรโทรศัพท์สำหรับกลุ่มคนดังกล่าว โดยมีสัดส่วนความรับผิดชอบระหว่างบริษัท ทีโอที และ กสท.โทรคมนาคม ร้อยละ 70 และ 30 ตามลำดับ รวม 1 ล้านใบ
ทั้งนี้ เกณฑ์การพิจารณา คัดเลือกกลุ่มเป้าหมาย โดยลำดับแรกจ่ายให้คนพิการทั้งหมด และลำดับถัดไปจ่ายให้แก่คนชราที่มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เริ่มจากกลุ่มผู้มีรายได้น้อยต่ำสุดขึ้นไปในแต่ละจังหวัด ด้วยการนำรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับบัตรประกาศเป็นการทั่วไป โดยผ่านกระบวนการประชาคมของชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีโอกาสใช้สิทธิในการคัดค้านรายชื่อผู้ที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามหลักการของกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมอันจะเป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้แก่ผู้ด้อยโอกาสทางสังคมในส่วนของคนพิการ คนชราและผู้ที่มีรายได้น้อยที่จะเข้าถึงการติดต่อสื่อสารทางโทรคมนาคม และเป็นการเพิ่มช่องทางในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร อันจะทำให้คุณภาพ
ผู้ว่าฯภูเก็ตย้ำรถรับจ้างอย่าเอาเปรียบนักท่องเที่ยว พบที่ผ่านมามีการร้องเรียนสูง
นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวภาย หลังเป็นประธานเการประชุมเชิงปฎิบัติการ ในหัวข้อ “ประสิทธิภาพด้านการบริการรถสาธารณะกับความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ” ในโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสำนักงานสำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต จัดขึ้น และมีตัวแทนผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะในพื้นที่เมืองภูเก็ต ป่าตอง กมลา หาดสุรินทร์ และกะตะกะรน เข้าร่วมประมาณ 150 คน ว่า
ในการให้บริการของรถบริการสาธารณะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมาจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มักจะได้รับการร้องเรียนเรื่องการเอารัดเอาเปรียบจากนักท่องเที่ยวแบ่งครั้ง แม้ว่าผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวจะมีเพียงส่วนน้อย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมหาศาลโดยเฉพาะชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ตและประเทศไทย
“เพราะฉะนั้นอยากฝากให้ผู้ประกอบการรถสาธารณะ อย่าเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้เป็นเวลานาน และอยากให้คนส่วนใหญ่ช่วยกันควบคุมดูแลไม่ให้คนเพียงส่วนน้อยก่อเหตุเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว และกำกับดูแลให้มาอยู่ในกรอบกติกาที่กำหนดซึ่งจะก่อไม่ให้เกิดความเสียหายในภาพรวมได้ แต่ถ้าปล่อยให้คนที่มีอยู่เพียงส่วนน้อยเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวก็เปรียบเหมือนการทุบหม้อข้าวตัวเองซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมทั้งหมด”นายวิชัย กล่าวและว่า
รวมทั้งขอร้องด้วยว่าหากมีปัญหาอะไรขึ้นก็ให้มาพูดคุยตกลงกัน อย่าทำลายตัวเองด้วยการปิดถนน ซึ่งได้สั่งการไปแล้วว่า หากกระทำเช่นนั้นก็ให้มีการดำเนินคดีกับแกนนำ เนื่องจากหากเราต้องการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาต่อเนื่องก็จะต้องทำให้บ้านเมืองเรามีความสงบ สะอาด สันติ สะดวกและปลอดภัย
ขณะที่นายกนก ศิริพานิชกร ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่อง การจดทะเบียนรถยนต์สาธารณะและรถยนต์บริการจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติให้สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต นัดประชุมผู้ประกอบการ ตัวแทนรถโดยสารสาธารณะ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถยนต์สี่ล้อเล็กและรถบริการธุรกิจ (ป้ายเขียว) เพื่อระดมความคิดเห็น แนวทางในการแก้ปัญหารถโดยสารสาธารณะในจังหวัดภูเก็ต เช่น มาตรฐานการให้บริการค่าโดยสาร ความปลอดภัย เป็นต้น
ประกอบกับขณะนี้ใกล้จะถึงฤดูกาลท่องเที่ยวอีกครั้ง รวมทั้งมีผู้ประกอบการได้รวมตัวกันจัดตั้งสหกรณ์ และขอเพิ่มจำนวนรถสี่ล้อเล็กอีกประมาณ 300 คัน แต่ทางคณะกรรมการฯ ให้ชะลอการอนุญาตออกไปก่อน เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็น
นายกนก กล่าวด้วยว่า การเพิ่มและลดจำนวนรถโดยสารสาธารณะของจังหวัดภูเก็ต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ให้นโยบายว่า เนื่องจากภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องมีรถบริการสาธารณะแต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีการศึกษาแผนการการให้บริการรถสาธารณะทั้งระบบ
จึงได้มีการเสนอโครงการของบประมาณไปยังกรมการขนส่งทางบก จำนวน 5 แสนบาท จากกองทุนความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนน เพื่อทำการศึกษาความต้องการ ประเภท รูปแบบ จำนวนและอัตราค่าบริการใช้รถสาธารณะของจังหวัดภูเก็ตในรอบ 1 ปี รวมทั้งจะได้นำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบในการอนุญาตเพิ่ม หรือลดจำนวนรถบริการสาธารณะต่อไปในอนาคต
ปัจจุบันรถยนต์บริการสาธารณะในจังหวัดภูเก็ตแบ่งเป็น กลุ่มรถสี่ล้อเล็กที่จดทะเบียนตามกฎหมายขนส่งทางบก ป้ายทะเบียน 30 ขึ้นรถด้านหลัง มีจำนวน 600 คัน รถสี่ล้อเล็กจดทะเบียนตามกฎหมายรถยนต์ ขึ้นรถด้านข้าง จำนวนประมาณ 1,112 คัน นอกจากนี้ยังมีรถบริการสาธารณะซึ่งให้บริการระหว่างสนามบิน –โรงแรมที่พักต่างๆ จำนวนประมาณ 400-500 คัน และแท็กซี่มิเตอร์ จำนวนประมาณ 50 คัน
ในการให้บริการของรถบริการสาธารณะในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก และที่ผ่านมาจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มักจะได้รับการร้องเรียนเรื่องการเอารัดเอาเปรียบจากนักท่องเที่ยวแบ่งครั้ง แม้ว่าผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวจะมีเพียงส่วนน้อย แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมหาศาลโดยเฉพาะชื่อเสียงของจังหวัดภูเก็ตและประเทศไทย
“เพราะฉะนั้นอยากฝากให้ผู้ประกอบการรถสาธารณะ อย่าเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพได้เป็นเวลานาน และอยากให้คนส่วนใหญ่ช่วยกันควบคุมดูแลไม่ให้คนเพียงส่วนน้อยก่อเหตุเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว และกำกับดูแลให้มาอยู่ในกรอบกติกาที่กำหนดซึ่งจะก่อไม่ให้เกิดความเสียหายในภาพรวมได้ แต่ถ้าปล่อยให้คนที่มีอยู่เพียงส่วนน้อยเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวก็เปรียบเหมือนการทุบหม้อข้าวตัวเองซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับส่วนรวมทั้งหมด”นายวิชัย กล่าวและว่า
รวมทั้งขอร้องด้วยว่าหากมีปัญหาอะไรขึ้นก็ให้มาพูดคุยตกลงกัน อย่าทำลายตัวเองด้วยการปิดถนน ซึ่งได้สั่งการไปแล้วว่า หากกระทำเช่นนั้นก็ให้มีการดำเนินคดีกับแกนนำ เนื่องจากหากเราต้องการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ยั่งยืน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาต่อเนื่องก็จะต้องทำให้บ้านเมืองเรามีความสงบ สะอาด สันติ สะดวกและปลอดภัย
ขณะที่นายกนก ศิริพานิชกร ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรอง เรื่อง การจดทะเบียนรถยนต์สาธารณะและรถยนต์บริการจังหวัดภูเก็ต ครั้งที่ 2/2552 เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติให้สำนักงานขนส่งจังหวัดภูเก็ต นัดประชุมผู้ประกอบการ ตัวแทนรถโดยสารสาธารณะ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถยนต์สี่ล้อเล็กและรถบริการธุรกิจ (ป้ายเขียว) เพื่อระดมความคิดเห็น แนวทางในการแก้ปัญหารถโดยสารสาธารณะในจังหวัดภูเก็ต เช่น มาตรฐานการให้บริการค่าโดยสาร ความปลอดภัย เป็นต้น
ประกอบกับขณะนี้ใกล้จะถึงฤดูกาลท่องเที่ยวอีกครั้ง รวมทั้งมีผู้ประกอบการได้รวมตัวกันจัดตั้งสหกรณ์ และขอเพิ่มจำนวนรถสี่ล้อเล็กอีกประมาณ 300 คัน แต่ทางคณะกรรมการฯ ให้ชะลอการอนุญาตออกไปก่อน เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความจำเป็น
นายกนก กล่าวด้วยว่า การเพิ่มและลดจำนวนรถโดยสารสาธารณะของจังหวัดภูเก็ต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ให้นโยบายว่า เนื่องจากภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวมีความจำเป็นต้องมีรถบริการสาธารณะแต่ที่ผ่านมา ยังไม่มีการศึกษาแผนการการให้บริการรถสาธารณะทั้งระบบ
จึงได้มีการเสนอโครงการของบประมาณไปยังกรมการขนส่งทางบก จำนวน 5 แสนบาท จากกองทุนความปลอดภัยการใช้รถใช้ถนน เพื่อทำการศึกษาความต้องการ ประเภท รูปแบบ จำนวนและอัตราค่าบริการใช้รถสาธารณะของจังหวัดภูเก็ตในรอบ 1 ปี รวมทั้งจะได้นำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบในการอนุญาตเพิ่ม หรือลดจำนวนรถบริการสาธารณะต่อไปในอนาคต
ปัจจุบันรถยนต์บริการสาธารณะในจังหวัดภูเก็ตแบ่งเป็น กลุ่มรถสี่ล้อเล็กที่จดทะเบียนตามกฎหมายขนส่งทางบก ป้ายทะเบียน 30 ขึ้นรถด้านหลัง มีจำนวน 600 คัน รถสี่ล้อเล็กจดทะเบียนตามกฎหมายรถยนต์ ขึ้นรถด้านข้าง จำนวนประมาณ 1,112 คัน นอกจากนี้ยังมีรถบริการสาธารณะซึ่งให้บริการระหว่างสนามบิน –โรงแรมที่พักต่างๆ จำนวนประมาณ 400-500 คัน และแท็กซี่มิเตอร์ จำนวนประมาณ 50 คัน
“กิสนา” กระทบภูเก็ตทำบ้านเรือน ปชช.เสียหาย
นายสันติ์ จันทรวงษ์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ “พายุกิสนา” ที่กำลังพัดถล่มอยู่ในขณะนี้ว่า สำหรับจังหวัดภูเก็ตนั้นได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ “พายุกิสนา” เช่นเดียวกันโดยมีฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง และมีคลื่นลมในทะเลแรง
ผลจากลมกรรโชกแรงส่งผลให้หลักคาบ้านของประชาชนในพื้นที ม.3 หมู่ 5 ซอยกิ่งแก้ว ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ตได้รับความเสียหายจำนวนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลตำบลรัษฎา เร่งเข้าไปช่วยเหลือซ่อมแซมบ้านเรือนให้ประชาชนในพื้นที่แล้ว ส่วนพื้นที่อื่นๆ นั้นยังไม่มีการแจ้งความเสียหายเข้ามาแต่คาดว่ามีหลายพื้นที่ที่ได้รับผล
ส่วนเรื่องของปัญหาน้ำท่วมดินถล่มในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เนื่องจากฝนตกหนัก ขณะนี้ได้มีการแจ้งเตือนไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ว ซึ่งในจังหวัดภูเก็ตมีพื้นที่เสียงภัยดินถล่มประมาณ 20 กว่าจุดที่จะต้องเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง
นายสันติ์กล่าวต่อไปว่า การเฝ้าระวังการรักษาความปลอดภัยทางทะเลนั้นขณะนี้ได้มีการแจ้งเตือนให้ประชาชนและชาวเรือโดยเฉพาะเรือเล็กงดออกจากฝั่งเนื่องจากในทะเลมีคลื่นลมแรง ขณะที่บริเวณชายหาดต่างๆ นั้นได้มีการขึ้นธงแดง เพื่อแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวห้ามลงเล่นน้ำอย่างเด็ดขาด เพื่อป้องกันอุบัติเหตุนักท่องเที่ยวจมน้ำในช่วงมรสุมคลื่นลมแรง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)